รู้หรือไม่!! "ดอกดาวเรือง" กินได้ ช่วยปกป้องจอประสาทตา

ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊ก "ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะ" ได้บรรยายสรรพคุณของดอกดาวเรืองไว้ ระบุว่า ...จากงานวิจัยพบว่า ดอกดาวเรือง ที่มีสารลูทีนและซีแซนทีน สะสมอยู่ที่จอประสาทตาน้อย จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคปัจจุบัน ชีวิตของมนุษย์บนโลก กำลังเข้าสู่สังคมดิจิทัลที่ผู้คนมีชีวิตอยู่กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ฯลฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันเกือบจะตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ซึ่งแน่นอนเมื่อด้านดีของอุปกรณ์เหล่านี้ ช่วยในการเรียน การทำงาน การติดต่อสื่อสาร การใช้ชีวิตในด้านต่างๆ แต่อีกด้านที่ผู้ใช้ต้องยอมรับ ก็คือ ผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะสายตาที่ต้องเพ่งอยู่กับจออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้เป็นเวลานานๆ
นอกจากแสงสีฟ้าจากจอแล้วยังมี แสงยูวีเพิ่มขึ้นจากสภาวะโลกร้อน ดาวเรืองจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพตา เพราะสารลูทีนและซีแซนอยู่มาก
ดาวเรืองมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกา ในปัจจุบันไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าเป็นยาสมุนไพร แต่มีข้อมูลที่อ้างอิงมาจากตำรายาจีนว่า ดอกและราก มีรสขม เผ็ดเล็กน้อย ใช้ขับลม ดับพิษร้อนในตับ แก้วิงเวียนศรีษะ ตาบวม ตาเจ็บ ไอเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ แก้คอและปากอักเสบ แก้คางทูม

ครูหมอยาปราจีนบุรีและอีสาน ไม่มีการใช้ดาวเรืองทางยา แต่เมื่อมีโอกาสไปเก็บความรู้กับหมอยาไทใหญ่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน จึงได้รู้ว่าดาวเรืองใช้ต้มกินบำรุงตา 
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า ดาวเรืองมีสารลูทีน (lutein) ที่ช่วยปกป้องสายตา ปัจจุบันในตลาดทางประเทศมีสารสะกัดจากดาวเรืองและชาดาวเรืองจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสายตา ฃ
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าสารลูทีนและซีแซนทีน (zeaxan-thin) เป็นสารไอโซเมอร์กัน (มีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แต่สูตรโครงสร้างต่างกัน) เป็นสารสีเหลืองที่มีอยู่มากบริเวณจุดโฟกัสของจอประสาทตา เชื่อว่าสารทั้งสองช่วยดูดซับแสงสีฟ้าและแสงยูวีซึ่งมีพลังงานสูงและเป็นสารต้านออกซิเดชันช่วยป้องกันเซลล์รับแสงของตา ไม่ไห้ได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระ 
จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่มีสารลูทีนและซีแซนทีนสะสมอยู่ที่จอประสาทตามาก จะมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดต้อกระจกและโรคจอ ประสาทตาเสื่อม อันมีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น