ล่าสุด มีกระแสข่าวว่าอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร ซึ่งเคยอยู่ในภาคอีสาน และเคยเป็นข่าวโด่งดังเกี่ยวกับสนามบินแห่งหนึ่งโดยปัจจุบันได้ย้ายตำแหน่งจากผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคอีสานไปคุมเก้าอี้ในหน่วยงานอย่าง "กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว"แถมมีอำนาจใหญ่โตกว่าเดิม จากเดิมที่เคยคุมแค่จังหวัดใหญ่จังหวัดเดียว กลายเป็นว่าได้ดูแลหน่วยงานในสังกัดตำรวจท่องเที่ยวแถบภูธรหลายจังหวัด
รายงานข่าวระบุว่าบิ๊กสีกากีรายนี้ ได้ระดมกึ่งบังคับลูกน้อง ให้เข้ามาร่วม "ทีมเฉพาะกิจ" ออกเก็บ "ค่าตั๋ว ค่าต๋ง" จากสถานประกอบการยามค่ำคืนทั้งๆที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ไม่ได้มีหน้างานรับผิดชอบ แต่กลับสั่งให้ลูกน้องไปออกตรวจสถานบันเทิงทั้งรายใหญ่รายน้อย
หากสถานบันเทิงไหนไม่ยอมร่วมมือก็สั่งให้ลูกน้องเข้าไปตรวจปัสสาวะนักท่องเที่ยว เพื่อหายอด "ตั๋ว" เพื่อทิ้งทวนให้กับตัวเองโดยบิ๊กสีกากีรายนี้ เหลืออายุราชการอีกประมาณ 2 ปี แถมมีกระแสข่าวลือว่า ปัจจุบันทีมเฉพาะกิจของผู้การรายนี้ ออกอาละวาดหนักในพื้นที่ภาคอีสานใต้ ซึ่งว่ากันว่า นายตำรวจระดับบิ๊กรายนี้เคย "เสียรายได้" เมื่อครั้งเจอมรสุมช่วง"พิษโควิด" กลางสนามบินจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง
โดยเมื่อบิ๊กตำรวจรายนี้ ได้ย้ายไปนั่งเก้าอี้ใหญ่กว่าเดิมมีอาณาเขตที่กว้างขวางในแถบภาคอีสานและภาคเหนือตอนล่าง เขาก็ตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาโดยสั่งการให้ลูกน้อง ก็คือ สารวัตรสืบสวนท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่เช่น นครราชสีมา อุบลราชธานี หรือแม้แต่หนองคาย ออกลาดตระเวนเก็บ "ค่าตั๋ว ค่าต๋ง" ในราคาหลักพันบาทถึงหลักหมื่นบาทหากลูกน้องคนไหนไม่ยอมปฏิบัติภารกิจลับนี้ ก็จะโดนสั่งย้าย เช่นสารวัตรสืบสวนจะถูกย้ายไป แล้วเอาสารวัตรอำนวยการทำหน้าที่แทน
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ตนสงสัยว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวมีหน้าที่ในการเข้าไปตรวจจับสถานบันเทิงหรือแม้กระทั่งตรวจปัสสาวะนักท่องเที่ยวได้หรือไม่เพราะเคยมีสถานประกอบการบางแห่งไม่ยอมจ่ายค่า "ค่าตั๋วค่าต๋ง" ในราคาที่พอใจก็จะถูกบิ๊กตำรวจรายนี้ สั่งลูกน้องให้เข้ามาตรวจทันทีโดยที่ลูกน้องหลายคนไม่ได้ยินยอมที่จะทำเรื่องนี้เลย