กรุงรัตนโกสินทร์ที่ถือกำเนิดโดยการวางเสาหลักเมืองตามพระราชพิธีพระนครฐาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น. นั้นลัคนาของเมืองสถิตราศีเมษ ธาตุไฟ ตัวลัคนานี้หากเป็นดวงชะตาคนก็คือตัวตนที่เราเห็นๆกัน แต่ทางโหรนอกจากตัวตนแล้วยังมีเกณฑ์ที่สามารถบ่งบอกถึงจิตใจ ที่เรียกกันว่าตนุเศษได้ อีกต่างหาก-ล้ำลึกขนาดนั้น
1.พระอาทิตย์(๑)ที่เป็นดาวจิตใจของเมืองนี้เป็นดาวตัวแทนคนมียศศักดิ์ ตามโฉลกที่คนเรียนโหรรู้กันคือทายยศศักดิ์ทายอาทิตย์ หรือพูดง่ายๆคือกลุ่มคนที่เป็นเจ้า-กษัตริย์-สมาชิกราชวงศ์ทั้งหลายเป็นจิตใจคนไทย โดยพื้นฐานของเมือง พูดง่ายๆคือเอาเจ้า
2.ผู้เขียนอ่านเป็นการส่วนตัวว่าพระอาทิตย์นี้เป็นตัวแทนภพที่ห้าปุตตะ-เด็กๆของเมือง-ของพระผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์คือล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 1 พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระอาทิตย์จึงเป็นพระราชสายโลหิตของร.1 ที่จะอยู่กับเมืองอย่างโดดเด่น เพราะพระอาทิตย์นี้กุมลัคนาเมืองที่ราศีเมษได้มาตรฐานอุจจุแปลว่าสูง ยากที่ใครจะโค่นล้มได้
3.เมืองถือกำเนิดวันอาทิตย์-พระอาทิตย์จึงเป็นดาวบริวารตามหลักทักษาผู้เขียนจึงอ่านว่าบริวารของเมืองจึงพากันมีเจ้าเป็นจิตใจ
เอาละในเมื่อการออกแบบให้จิตใจคนในเมืองผูกพันกับเจ้า-กษัตริย์-เจ้านายไว้ถึงสามชั้น แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีแรงหวั่นไหว แกว่งไกว เมื่อมีดาวร้ายมากระทำต่อจิตใจ เฉกเช่นตั้งแต่มีนาคม 2559มาแล้วที่มฤตยูจร(0)เจ้าของภัยอาเพศ การปฏิวัติ ล้มล้างสิ่งเก่าสถาปนาสิ่งใหม่ ความล้ำเลิศ แต่หากมากไปก็เป็นพวกวิตถารเริ่มทับดาวจิตใจของเมือง ซ่องสุมพลังของการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยด้วยเครื่องไม้เครื่องมือล้ำสมัย ครั้นสะสมพลังได้ที่แล้วรอเพียงเกณฑ์ร้ายอื่นมาผสมโรงก็ระเบิดตูมตามออกมาตั้งแต่18 สิงหาคม 2563 พรรคก้าวไกลหงายไพ่ขอแก้รัฐธรรมนูญหมวด1-2อันเป็นหมวดว่าพระมหากษัตริย์ท่ามกลางความงงงันของคนในเมืองส่วนใหญ่
หลังจากนั้นขบวนการปฎิรูปสถาบันก็ออกมากันแบบชวนตะลึงตามอาการของมฤตยู แยกไม่ออกว่าจะไล่นายกฯหรือปฎิรูปสถาบัน มีออกแนวก้าวร้าวรุนแรงแบบวิตถารก็มากชนิดเหลือเชื่อตั้งแต่ชูสามนิ้ว-โบว์ขาว-คณะราษฎร์2563-ล้อเลียนฯลฯ แต่หลังจากหายตะลึงแล้วอีกฝ่ายที่จิตใจผูกพันกับเจ้าก็เริ่มเอาคืน-ออกพลังต้าน-รวมกันติดตั้งแต่วันที่มฤตยูจรเริ่มเดินถอยหลังคือ 15 กันยายน 2563 นำโดยอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ และศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ตามด้วยจิตใจคนไทยที่ผู้พันกับเจ้าก็เริ่มแสดงพลัง ชัดเจนที่สุดคือวันที่ 23 ตุลาคม 2563 ที่ในหลวง/พระราชินีเสด็จแวะเยี่ยมพสกนิกรที่เข้าเฝ้าพร้อมเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ และเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ข้างกำแพงพระนคร หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราชที่กระหึ่มไปทั่ว ด้วยประโยคที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ชาติไทย-เรียกว่ามาแบบมฤตยูเหมือนกันคือ--ในหลวงสู้ๆ-- และอีกหนึ่งคืนที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆเป็นข่าวไปทั่วโลกคือการที่ทรงแวะเยี่ยมพสกนิกรที่เฝ้าแหนเหลืองอร่ามงามตามากมายมหึมาเมื่อวันที่1พฤศจิกายน2563ในการเสด็จฯทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกฎ
ประเด็นคือระหว่างกลุ่มคนเอาเจ้า-อย่างไรก็จงรักภักดีกับคนไม่เอาเจ้าจะปฏิรูปสถาบันอะไรจะเกิดขึ้น ผู้เขียนคาดคะเนตามหลักที่อ.เทพย์ สาริกบุตรให้ไว้คือการเกิดของยุคที่ 13 ของกรุงรัตนโกสินทร์ที่เริ่มปรากฎปลายขอบฟ้า ตั้งแต่ 2 มีนาคม 2562 และจะยาวนานไปอีก 20 ปีนี้ พวกเราอาจต้องยืนระยะยาวให้มั่นคงต่อสู้เพื่อรักษาสถาบันหลักของชาติไว้ แต่ข่าวดีคือไม่ว่าจิตใจคนบางกลุ่มจะผันแปรไปอย่างไร ต้องการเห็นสถาบันเป็นแบบไหนแแต่เมื่อการต่อสู้ผ่านพ้นไปแล้ว ถึงอย่างไรสถาบันพระมหากษัตริย์ก็อยู่กับดวงเมืองตลอดไป และจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ก็จะยังอยู่กับเจ้าหรือสถาบันที่ก็คงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยตลอดไป อย่างที่เราเห็น-ได้ประจักษ์กับตากันแล้ว เพราะพื้นฐานดวงเดิมดวงเมืองเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็จะกลับเป็นไปตามพื้นฐานเดิมจนกว่าจะไม่มีกรุงรัตนโกสินทร์
ขอบคุณ Fongsanan Chamornchan