แอปเปิล ประกาศจัดอีเวนต์ดังกล่าวในวันที่13 ต.ค. นี้ เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือเวลาอย่างเป็นทางการคือในวันที่ 14 ตุลาคมนี้เวลา 00:00 น. (เวลาประเทศไทย) หรือจำง่ายๆ ในคืนวันที่ 13 ตุลาคมนี้ เที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทยโดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก
.
ในครั้งนี้ แอปเปิลมาพร้อมประโยคเด็ด "Hi, Speed." บนเว็บไซต์ เป็นการบ่งบอกว่าในงานอีเวนต์ครั้งนี้ แอปเปิลจะเปิดตัว iPhone 12 ซึ่งรองรับระบบ 5G โดยเป็นการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง!!
คาดการณ์กันว่า ครั้งนี้ทางแอปเปิลน่าจะเปิดตัวiPhone 12 ถึง 4 รุ่น ในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้แก่ iPhone 12 Mini ซึ่งมีหน้าจอ 5.4, iPhone 12 ซึ่งมีหน้าจอ 6.1,iPhone 12 Pro มีหน้าจอ 6.1 และ iPhone 12 Pro Max หน้าจอ 6.7
หลังการเปิดตัว iPhone 12 ในวันที่ 13 ต.ค.นี้ คาดการณ์ว่าทางแอปเปิลจะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 16 ต.ค. และรับสินค้าได้ในวันที่23 ต.ค.นี้ สาวกของแอปเปิลไม่ต้องรอคอยอีกต่อไป เตรียมกดเงินจับจองกันได้เลย
ก่อนหน้านี้ เมื่อกลางเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมาApple Inc. ก็ได้จัดอีเวนต์ใหญ่ประจำปีไปแล้ว ภายใต้ชื่อว่า "Time Flies." ในรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19
ในงาน ได้เปิดตัวสมาร์ทว็อทช์ราคาประหยัดApple Watch SE ราคาเริ่มต้น 9,400บาท และ Apple Watch Series 6 ราคาเริ่มต้นที่ 13,400บาท
ตามด้วย iPad Air รุ่นใหม่ และ iPad8th Gen. เริ่มต้นที่ 32GB 10,900 บาท พร้อมความพิเศษชิพ A12 Bionic และปิดท้ายด้วยการเปิดตัวบริการApple One ที่รวม 4 บริการของ Apple เป็นหนึ่ง
อัปเดตความเคลื่อนไหวของiPhone 12ว่าที่ไอโฟนรุ่นถัดไปหลังจากได้รับข้อมูลใหม่จากรายงานของนักวิเคราะห์Ross Youngซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับหน้าจอแสดงผลที่ใช้บนiPhone 12 แต่ละรุ่น รวมถึงข้อมูลกล้องถ่ายรูป, ชิปเซ็ต, RAM และอื่น ๆ
โดย Ross Young เผยว่าข้อมูลดังกล่าวมาจาก Display Supply Chain Consultants (DSCC) ที่ถือว่า เป็นแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือสรุปรายละเอียด iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นดังนี้
iPhone 12
หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล (475 ppi) ผลิตโดย Samsung Display เซ็นเซอร์แบบสัมผัสอยู่ที่หน้าจอ ไม่แยกชั้น Layer (Y-OCTA) สี 8-bits กล้องคู่ด้านหลัง ความละเอียดสูงสุดที่ 64 ล้านพิกเซล กล้องด้านหน้า ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับ 5G แบบ Sub 6GHz ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic RAM ขนาด 4 GB ROM ขนาด 128 GB หรือ 256 GB ราคาเริ่มต้นที่ $649 (128 GB) หรือราว ๆ 20,900 บาท และ $749 (256 GB) หรือราว ๆ 23,900 บาท
iPhone 12 Max
หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล (460 ppi) ผลิตโดย BOE และ LG Display เซ็นเซอร์แบบสัมผัสเป็นแบบแยกชั้น Layer สี 8-bits กล้องคู่ด้านหลัง ความละเอียดสูงสุดที่ 64 ล้านพิกเซล กล้องด้านหน้า ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับ 5G แบบ Sub 6GHz ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic RAM ขนาด 4 GB ROM ขนาด 128 GB หรือ 256 GB ราคาเริ่มต้นที่ $749 (128 GB) หรือราว ๆ 23,900 บาท และ $849 (256 GB) หรือราว ๆ 27,000 บาท
iPhone 12 Pro
หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล (460 ppi) ผลิตโดย Samsung Display เซ็นเซอร์แบบสัมผัสเป็นแบบแยกชั้น Layer สี 10-bits กล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียดสูงสุดที่ 64 ล้านพิกเซล + LiDAR กล้องด้านหน้า ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับ 5G แบบ Sub 6GHz และ mmWave ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic RAM ขนาด 6 GB ROM ขนาด 128 GB, 256 GB หรือ 512 GB ราคาเริ่มต้นที่ $999 - $1,299 หรือราว ๆ 31,900 - 41,500 บาท
iPhone 12 Pro Max
หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล (458 ppi) ผลิตโดย Samsung Display เซ็นเซอร์แบบสัมผัสอยู่ที่หน้าจอ ไม่แยกชั้น Layer (Y-OCTA) สี 10-bits กล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียดสูงสุดที่ 64 ล้านพิกเซล + LiDAR กล้องด้านหน้า ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับ 5G แบบ Sub 6GHz และ mmWave ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic RAM ขนาด 6 GB ROM ขนาด 128 GB, 256 GB หรือ 512 GB ราคาเริ่มต้นที่ $1,099 - $1,399 หรือราว ๆ 35,000 - 44,600 บาท
นอกจากนี้ RossYoung ยังเผยว่า Apple อาจนำเทคโนโลยีหน้าจอแบบXDR (Extreme Dynamic Range) มาใช้กับ iPhone ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะให้ความสว่างสูงถึง 1,600 nits แต่ทั้งนี้
หน้าจอที่ผลิตโดย Samsung Display ไม่สามารถรองรับความสว่างได้ถึงระดับนั้นซึ่ง Apple อาจจะต้องนำมาปรับแต่งเอง
ทั้งนี้ Young เคยคาดการณ์ว่า Apple จะนำเทคโนโลยีหน้าจอแบบ ProMotion120Hz มาใช้กับ iPhone 12 รุ่นพรีเมียมด้วยเช่นกันแต่เนื่องจาก iPhone 12 อาจจะไม่มีเทคโนโลยี LTPO
ที่ช่วยประหยัดพลังงานซึ่งถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่จำเป็นอย่างมากต่อการใช้งานจอ 120Hz ก็ส่งผลทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่เกินความจำเป็น อย่างไรก็ดีถึงจะไม่มีฟีเจอร์ LTPO ก็มี
ความเป็นไปได้ที่จะใช้จอ ProMotion120Hz แต่ก็ต้องมีการจำกัดความละเอียดของหน้าจอ หรืออัตราการใช้พลังงานแบตเตอรี่แทน
ด้านกระบวนการผลิตนั้นคาดว่าจะเริ่มในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ในขณะที่กำหนดการวางจำหน่ายอาจจะล่าช้ากว่าปกติ เลื่อนจากปลายเดือนกันยายนเป็นเดือนตุลาคมแทน คล้าย ๆ
ตอนที่ Apple วางจำหน่ายiPhone XS กับ iPhone XR เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
ส่วนข้อมูลข้างต้นจะเป็นความจริงหรือไม่นั้นต้องติดตามกันต่อไป
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล :macrumors.com, ภาพจาก EverythingApplePro