
หลังจากข่าวแพร่สะพัด หลายคนในหมู่บ้านก็เริ่มช่วยกันตามหาแต่ก็ไม่พบจึงได้แจ้งให้ทางตำรวจช่วย ซึ่งก็ได้ระดมกำลัง ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองผู้นำชุมชนท้องถิ่น และจิตอาสากว่า 500 คน เดินปูพรมหาแทบทั้งตำบลกกตูม ที่มี 12หมู่บ้าน ซึ่งถือว่าไม่ได้เป็นตำบลที่ใหญ่มาก แต่ก็ยังไม่พบ ด้วยชัยภูมิของหมู่บ้านกกกอกนั้นติดกับเทือกเขาภูพานน้อยเขตอุทยานแห่งชาติภูผายล ที่เป็นเทือกเขาที่มีเขตติดต่อถึง 3 จังหวัด "สกลนครนครพนม และ มุกดาหาร"
ตลอดทั้งวันของวันที่ 11 พ.ค.ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบตัวน้องชมพู่ญาติเริ่มหวั่นวิตกมากขึ้นจนพระอาทิตย์ลาลับไป ก็ไม่พบตัวน้อง ขณะเดียวกัน ในโลกของโซเชียลก็มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เพื่อให้ช่วยกันหาตัวอีกแรงแต่ก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับน้องชมพู่
ล่วงเลยเข้าวันที่ 3 ของการติดตามค้นหาความยิ่งเลื่อนลางในการพบตัว แต่หลายคนในหมู่บ้านยังเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์แต่ความหวังก็ค่อยๆ มอดไหม้ ตามแสงของตะวันที่หมดไปอีกหนึ่งวัน
4วันแห่งการปูพรมแถบพลิกแผ่นดิน ก็มาพบเบาะแสสำคัญจากปากของนางตุน พรมงอย วัย 70 ปีชาวบ้านตำบลจันทร์เพ็ญ อ.เต่างอย จ.สกลนคร นักล่าของป่าที่มีความชำนาญและออกมาเก็บเห็ดป่าบนเทือกเขาภูพานบอกว่าพบรองเท้าเด็กสีเขียว อยู่ในป่าเขาภูเหล็ก แต่ไม่พบตัวเด็ก ด้วยในใจก็นึกว่าในป่าลึกแบบนี้จะมีเด็กขึ้นมาเล่นได้อย่างไรจึงตัดสินใจเดินป่าหาเห็ดต่อกับสามีของเธอ จนกลับมาที่บ้านพักแล้วมาเล่าให้ลูกฟังกระทั่งมารู้ว่าที่ต.กกตูม มีเด็กหายจึงรีบนำข้อมูลนี้ไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่และญาติทราบ
นางตุน ถือว่าเป็นพยานปากสำคัญในการค้นหาตัวน้องชมพู่ ที่กระชับพื้นที่ได้แคบที่สุดตลอด 3วันที่ผ่านมา โดยช่วงบ่ายคล้อยจนเกือบเย็น นางตุนได้นำเจ้าหน้าที่เดินลัดเลาะตามป่าเขาเข้าไปในจุดที่ชาวบ้านเรียกกันว่า"ป่าเขาภูเหล็กไฟ" ห่างจากหมู่บ้านกกกอก ประมาณ 2 กิโลเมตร จุดแรกที่ไปตรวจคือตรงที่พบรองเท้าจากนั้นตำรวจ ข้าราชการท้องถิ่น อาสาสมัครก็กระจายกำลังกันหาบริเวณโดยรอบพื้นที่
ช่วงสุดท้ายของการค้นหาตลอด 4 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทุกนายทำงานแข่งกับเวลาเพราะเป็นพื้นที่ป่า ลำบากต่อการค้นหา ประกอบกับฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ เมื่อเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าถึงจุดพบศพในช่วงเวลาดึกจึงต้องเร่งเก็บหลักฐานให้ได้มากที่สุดเพราะ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่จะอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชมพู่