โดยทางด้านดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผู้ก่อตั้งสถาบันฟีโบ้ กล่าวอีกว่า หุ่นยนต์ "มดบริรักษ์" นี้เป็นชุดแพลตฟอร์มที่ควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์ สั่งการจากศูนย์ควบคุมเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fiและในอนาคตสามารถนำเทคโนโลยี 5G 2600 MHz มาใช้ได้ความสามารถของหุ่นยนต์แต่ละตัวมีหน้าที่ต่างกัน เช่น วัดอุณหภูมิคนไข้ ส่งอาหาร สำรวจจุดต่างๆได้อย่างละเอียด หรือ ช่วยอำนวนความสะดวกของอุปกรณ์ทางการแพทย์ คุณหมอและผู้ป่วยจะสามารถสื่อสารกันได้ผ่านทางวิดีโอคอลล์ สั่งการด้วยเสียงโต้ตอบแบบเรียลไทม์มีหน้าจอและสามารถบันทึกการรักษาและการวินิจฉัยโรค โดยเชื่อมต่อกับระบบกลางของโรงพยาบาลนั้นๆ
ที่สุดด้วยคุณสมบัติตัวกล้องมีความละเอียดสูงมากถึง 20เท่า ทำให้หมอสามารถตรวจคนไข้ได้โดยไม่ต้องใกล้ชิดกับคนไข้ เช่น การตรวจตา ลิ้นเป็นต้น เลี่ยงการใกล้ชิด ด้วยอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสูงขนาดนี้ "มดบริรักษ์" จึงมีต้นทุนการผลิตต่อชุดประมาณ2.5-3ล้านบาท งบประมาณนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคเอกชนและทุนอีกส่วนหนึ่งของฟีโบ้เอง
ดร.ชิต เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลทั่วประเทศแจ้งความต้องการมา40ชุด ซึ่ง "ฟีโบ้" จะมอบพิมพ์เขียว (Engineering Drawing)ให้บริษัทในสมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (Thai Automation and Robotics AssociationหรือTARA)ผลิตต่อไป
นอกจาก โรงพยาบาลในไทยที่แจ้งความต้องการใช้หุ่นยนต์แล้ว ยังมีต่างชาติหลายแห่งให้ความสนใจหุ่นยนต์"มดบริรักษ์"และมีการติดต่อเข้ามากันจำนวนมาก แต่ขอชี้แจงว่าทางสถาบันฯ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการผลิตเพื่อขายเอง และไม่ได้ต้องการทำรายได้จากโครงการนี้ เพราะในสถานการณ์ขณะนี้ทุกคนต้องช่วยกัน เมื่อทางสถาบันฯ มีประสบการณ์ในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ก็พร้อมสนับสนุนส่งต่อความรู้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างเต็มที่
นี่คืออีกหนึ่งแนวทางในการจัดการหาทางรับมือกับภัยร้า โควิด-19ที่คุกคามชีวิตและทรัพย์สินคนไทยในวันนี้และทั่วทั้งโลก เพื่อหาทางรับมือและลดการสูญเสียให้มากที่สุด"มดบริรักษ์"อีกทางเลือกใหม่ ที่คนไทยคิดค้นเพื่อต้านภัยโควิดและช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์