ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือการปล่อยข่าวปลอมว่าพรรคเพื่อไทยจะแจกเงินให้กับแท็กซี่ คันละ 2,000 บาททำให้มีโชเฟอร์แท็กซี่ขับรถไปรวมตัวกันที่หน้าพรรคเพื่อไทยจนรถติดจะเห็นได้ว่ายิ่งในช่วงที่เกิดวิกฤติ ข่าวปลอมยิ่งทำงานได้ผลมากยิ่งขึ้นรูปแบบของข่าวปลอมเท่าที่ประมวลได้จะเน้นเรียกร้องความสนใจจากผู้คนส่วนใหญ่มาในรูปแบบของการพาดหัวข่าวที่เร้าอารมณ์ร่วม เพื่อดึงดูดความสนใจผู้คนและจะเลือกเอาสถานการณ์ที่คนกลุ่มใหญ่เดือดร้อนมาเป็นเครื่องมือและเป้าหมายของการปล่อยข่าวจนทำให้หลายคนหลงเชื่อคิดว่าเป็นเรื่องจริง ที่สำคัญก็คือคนเหล่านี้พร้อมที่จะแชร์ข้อมูลต่อไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสารคุณพันธ์ศักดิ์ อาภาขจร บอกกับ "เนชั่นทีวี" ว่า จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่อ่านข่าวปลอม จะมีปฏิกิริยาที่เรียกว่า "ปฏิกิริยาจากความจริงเทียม"
ซึ่งเป็นการได้รับข่าวปลอมซ้ำๆ จนคิดว่าเป็นเรื่องจริง ปฏิกิริยาเหล่านี้จะรุนแรงขึ้นเมื่อถูกสำทับด้วยข้อมูลที่เบี่ยงเบนตามที่ตนเองคิดอยู่แล้วเรียกว่า Confirmation Bias ทำให้ย้ำเตือนความเชื่อตนเองว่า ข้อมูลที่ได้รับเป็นเรื่องจริง ทั้งๆที่เป็นข่าวปลอม แต่ดันไปตรงกับความเชื่อแบบลำเอียงของตนอยู่แล้ว เช่นไม่ชอบรัฐบาลลุงตู่ ก็มักจะเชื่อข่าวลบๆ ของรัฐบาล ทั้งๆ ที่บางเรื่องเป็นข่าวปลอม
คุณพันธ์ศักดิ์ บอกด้วยว่ากลุ่มคนที่สร้างข่าวปลอม โดยมากมักมีวัตถุประสงค์อยู่ 4 ข้อหลักๆ คือทำเพื่อความสนุก และเรียกยอดไลค์ ยอดแชร์ หวังผลในการดิสเครดิตฝ่ายการเมืองหรือบุคคลที่ตนไม่ชอบ บางพวกก็ทำทำเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ และสุดท้ายคือการสร้างชื่อเสียงและการจดจำควบคู่ไปกับผลประโยชน์ทางการเงิน
ฉะนั้นผู้ใช้เทคโนโลยีอย่างเราๆต้องย้ำเตือนตัวเองเอาไว้เสมอว่า เทคโนโลยีแม้จะเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์แต่ก็สามารถกลายเป็นอาวุธของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ตลอดเวลา