
โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่เป็น "ไซโคพาธ(Psychopaths)" ได้ถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ทั้งๆ ที่กระแสสังคมเพิ่งคลายความกังวลไป หลังตำรวจ สภ.ระนวน จ.ขอนแก่น สามารถจับกุม "สมคิด พุ่มพ่วง" ฆาตกรต่อเนื่อง วัย 55 ปีได้ในที่สุด
นพ.ศรุตพันธุ์ จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ระบุว่า สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ "ไซโคพาธ (Psychopaths)" ไม่ใช่ชื่อโรค แต่เป็นชื่อเรียกกลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติ แบบต่อต้านสังคม(Antisocial Personality Disorder)
โดยคำว่า "บุคลิกต่อต้านสังคม" ตามนิยามหมายถึง คนจำพวกที่ไม่รู้ว่า สิ่งที่กระทำนั้นถูกต้องหรือไม่ สิ่งใดผิด - ถูก ่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของสังคม เป็นคนกลุ่มที่ถูกหล่อหลอม หรือมีประสบการณ์จากการกระทำที่ผิดๆ มาตั้งแต่วัยเด็ก เช่น ทำร้ายสัตว์มาโดยไม่มีใครอบรมสั่งสอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จนเขาเติบโตด้วยความเข้าใจผิดว่าการกระทำนั้นเป็นเรื่องปกติ
ขณะที่งานวิจัยด้านจิตเวชในต่างประเทศ ชี้หลักเบื้องต้นว่า บุคลิกภาพของคนเราจะคงที่เมื่อก้าวพ้นวัย 17 ปีขึ้นไป ฉะนั้น เมื่อเราเติบโตมาแล้วจะบุคคลิกภาพเป็นเช่นไร จึงขึ้นอยู่กับวิธีการบ่มเพาะ การอบรมเลี้ยงดู
อย่างไรก็ตาม สังคมไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวคนกลุ่มนี้มากนัก เพราะการศึกษาวิจัยชี้ชัดว่า ในสังคมทั่วไป จะมีประชากรที่เป็นไซโคพาธ 1% หรือใน 100 คนจะมีเพียง 1 คนที่เป็นไซโคพาธ หรือในกลุ่มผู้ต้องขังทั้งหมด จะมีเพียง 10% เท่านั้นที่เป็นไซโคพาธ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนที่น้อยมากๆ
ประการสำคัญ คนที่เป็นไซโคพาธ สามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคม พูดคุยกับคนทั่วไปได้ มีลักษณะ่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างเป็นปกติ หรือที่เรียกว่า "อยู่เป็น" โดยไม่เคยก่อคดีสะเทือนขวัญ
"ในกลุ่มคนที่เป็นไซโคพาธ จะมีลักษณะเฉพาะที่พบเห็นบ่อยๆ จากคำพูดประโยคหนึ่ง คือ "ครับ ๆ ๆ" แต่ไม่ว่าอย่างไร การจะชี้ว่าคนๆ หนึ่ง มีบุคลิกแบบต่อต้านสังคม ก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจ วินิจฉัยตามหลัก "นิติจิตเวช" เพราะ "การฆาตกรรมต่อเนื่อง" ไม่จำเป็นต้องคนป่วยเสมอไป และหากการลงโทษคนป่วย ไม่สบายก็ไม่ยุติธรรม แต่หากไม่ป่วยก็ต้องมีบทลงโทษที่เหมาะสม
ย้อนกลับมาที่กรณีคนร้ายชิงทอง กลางเมืองลพบุรี แม้พฤติกรรมของคนร้ายจะดูเหี้ยมโหด เสมือนไม่รู้สิ่งใดผิดถูก ดีชั่ว ก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่า พฤติกรรมที่ปรากฎตามสื่อต่างๆ นั้น เป็นลักษณะของคนที่ต่อต้านสังคม และเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่่ผู้ต้องหา หรือแม้แต่อัยการ พนักงานสอบสวน ต้องสามารถร้องขอให้ผู้ต้องหารายนั้นเข้ารับการตรวจทางนิติจิตเวช เพื่ออำนวยความยุติธรรมกรณีนายสมคิด พุ่มพวง ผู้ต้องหาที่เพิ่งถูกจับกุมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในพื้นที่ภาคอีสาน กระทั่งสังคมมองว่าเป็นไซโคพาธ ก็ควรเข้ารับการตรวจด้านจิตเวช แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรมราชทัณฑ์
ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ระบุอีกว่า ในการเข้ารับการตรวจ "นิติจิตเวช" อาจมีหลายฝ่ายกังวัลว่า ผู้ต้องหาจะใช้เป็นช่องทางลดโทษหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะ ในทางการแพทย์ กระบวนการตรวจวินิจฉัยจะมีเครื่องมือ ขั้นตอนที่ซับซ้อน กล่าวคือ หลังการร้องขอรับการวินิจฉัย ก็จะต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 45- 90 วัน เพื่อรับการประเมินจากทีมแพทย์จิตเวชในการทำความเห็นเสนอเป็นข้อมูลต่อผู้พิพากษาให้สามารถพิจารณารับโทษตามความเหมาะสมเช่นเคย
โดยปกติเรื่องของพฤติกรรม การฆาตกรรมหรือพฤติกรรมที่มีลักษณะรุนแรง ก็ไม่จำเป็นต้องคนป่วยเสมอไป ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจสอบ กระบวนการความคิด เพราะคนปกติก็มีความคิด และพฤติกรรมรุนแรงได้ไม่แตกต่าง และหากให้มีการลงโทษผิดคน ความยุติธรรมก็จะไม่เกิดขึ้น