นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่ากองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.)โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามข้อมูลปริมาณฝนสะสมสถานการณ์น้ำท่า ปัจจัยเสี่ยงในพื้นที่ ประกอบกับสำนักงานชลประทานที่ 12 แจ้งว่าตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2562 เป็นต้นไปคาดการณ์ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจะควบคุมในเกณฑ์ระหว่าง 900 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 0.30 0.80 เมตร บริเวณตำบลบางกระทุ่ม ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนาและตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยปริมาณน้ำดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งนี้ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.)โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)จึงได้ประสานพื้นที่เสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นรวมถึงแม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำน้อย แม่น้ำลพบุรี คลองชัยนาท ป่าสักและคลองชัยนาท - อยุธยา รวม 7 จังหวัด ดังนี้
อุทัยธานี (อำเภอเมืองอุทัยธานี)
ลพบุรี (อำเภอบ้านหมี่ อำเภอท่าวุ้ง และอำเภอเมืองลพบุรี)
ชัยนาท (อำเภอสรรพยา)
สิงห์บุรี (อำเภออินทร์บุรี อำเภอเมืองสิงห์บุรี และอำเภอพรหมบุรี)
อ่างทอง(อำเภอไชโย อำเภอเมืองอ่างทอง อำเภอป่าโมก อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอวิเศษชัยชาญ)
พระนครศรีอยุธยา (อำเภอบางบาล อำเภอผักไห่ และอำเภอเสนา)
สุพรรณบุรี(อำเภอบางปลาม้า)
รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในช่วงดังกล่าว โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศสถานการณ์น้ำท่า การระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา ปริมาณฝน ระดับน้ำและแนวโน้มสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
พร้อมจัดเตรียมชุดเคลื่อนที่เร็วเครื่องมืออุปกรณ์ประจำพื้นที่เสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยพร้อมแจ้งเตือนหน่วยงาน บริษัท ห้างร้านที่ประกอบกิจการในแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหารริมน้ำรวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำให้ติดตามสถานการณ์จากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด