รวมทั้งเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ สามารถปลูกและนำไปผลิตในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ เช่น อาหาร เครื่องสำอาง สมุนไพร ยา นำรายได้เข้าสู่ประเทศ จึงได้มอบนโยบายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงกฎระเบียบที่มีอยู่เกี่ยวกับกัญชาและกัญชง ซึ่งในเบื้องต้นได้ออกประกาศฯ ยกเว้นสารสกัดในกัญชงและกัญชา รวมทั้งบางส่วนของพืชกัญชงให้ไม่ต้องถูกควบคุมเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จากเดิมที่มีการยกเว้นเฉพาะเปลือกแห้ง แกนลำต้นแห้ง เส้นใยแห้ง ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะพัฒนาให้พืชกัญชาและพืชกัญชงเป็นพืชที่สร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประชาชน และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมจากสมุนไพรไทยไปพร้อมกับการทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยา เข้าถึงการรักษาที่มีมาตรฐานอย่างถ้วนหน้า
นอกจากนี้ ในการยกเว้นการควบคุมสารสกัดกัญชาและกัญชง และบางส่วนของพืชกัญชงให้ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เจตนาเพื่อให้มีการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยา สมุนไพร อาหาร หรือเครื่องสำอาง เพื่อนำรายได้เข้าประเทศโดยมีการยกเว้นสาร CBD บริสุทธิ์ (THC ไม่เกิน 0.01 %) เนื่องจากไม่มีฤทธิ์ในการเสพติด วัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้เป็นสารมาตรฐานในห้องปฏิบัติการเท่านั้น สารสกัดหรือผลิตภัณฑ์สารสกัดกัญชา กัญชงที่มี CBD เป็นส่วนประกอบหลักและมีปริมาณ THC ไม่เกิน 0.2% ซึ่งจัดเป็นยาหรือสมุนไพร เมล็ดกัญชงหรือน้ำมันจากเมล็ดกัญชง นำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารได้ และน้ำมันจากเมล็ดกัญชงสามารถนำไปเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางได้
ทั้งนี้ ภายในระยะ 5 ปีแรก นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้ ให้การยกเว้นนี้ใช้เฉพาะกับผู้ผลิตภายในประเทศเท่านั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการภายในประเทศ สำหรับการนำเข้าไม่ได้ยกเว้นแต่อย่างใด ยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ซึ่งภายหลังการออกประกาศนี้ อย.จะต้องออกกฎ ระเบียบสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหาร เครื่องสำอาง เพื่อให้รองรับการนำกัญชงไปใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ พร้อมกันนี้ จะเสนอแก้ไขกฎกระทรวงการอนุญาตเกี่ยวกับกัญชง พ.ศ. 2559 จากเดิมที่มีบทเฉพาะกาล 3 ปี ให้เฉพาะหน่วยงานของรัฐขออนุญาตได้ เป็นเปิดกว้างให้ภาคส่วนอื่น ๆ สามารถขออนุญาตและพัฒนาการปลูกกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเดิมที่เน้นการใช้ประโยชน์เส้นใย ตลอดจนปรับแก้ไขการกำกับดูแล กระบวนการอนุญาตให้มีความรวดเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ได้มีข้อคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ และภาคประชาชน เกี่ยวกับรายละเอียดบางประการในประกาศทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะมีการประชุมร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง และเครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน เพื่อหาข้อสรุปต่อไป