เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไร ที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนไม่เสียใจ ต้องยอมรับว่าส.ส.มีเอกสิทธิ์ มีอำนาจในทางนิติบัญญัติ แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัด ในเรื่องพิธีกรรมและเวลา ดังนั้นในช่วงที่ตนยังไม่สามารถมีอำนาจนิติบัญญัติได้ เราก็จะรณรงค์กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจเรามากขึ้น โดยเฉพาะความไม่เป็นประชาธิปไตย และความไม่เป็นธรรมของรัฐธรรมนูญ 2560 ยังมีเรื่องอีกเยอะให้ทำ ตนย้ำมาหลายครั้งว่าอยากสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้เป็นพรรคที่เข้มแข็ง และยืนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และประชาชนได้ในระยะยาว จึงไม่มีความท้อถอย ไม่เสียใจ จะเดินหน้าต่อไป
เมื่อถามว่า แนวร่วม 7 พรรคการเมืองยังมีความหวังจะได้ชัยชนะในการเลือกประธานสภาฯอยู่หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนคิดว่ามีแนวโน้มที่ดี 244 เสียง ของ 7 พรรค จะโหวตไปในทิศทางเดียวกัน จึงไม่ง่ายที่จะคว่ำเสียงของทั้ง 7 พรรค ส่วนเรื่องจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น ว่ากันทีละสมรภูมิ วันนี้เอาตำแหน่งประธานสภาฯก่อน คงต้องแยกส่วนกัน
เมื่อถามว่า หลังจากนี้ จะเคลื่อนไหวในนามพรรคการเมือง หรือภาคประชาชนบนท้องถนน นายธนาธร กล่าวว่า ตนยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และเป็นแคนดิเดทนายกฯของพรรค เราเชื่อมั่นว่าการได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่ดีที่สุด สงบสุขที่สุด คือกระทำผ่านรัฐสภา เราเชื่อมั่นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ตั้งพรรคการเมือง เราต้องการดึงศรัทธาของประชาชน กลับมาที่รัฐสภาอีกครั้ง เพราะถ้าประชาชนไม่ศรัทธาและมองว่ารัฐสภาแก้ปัญหาไม่ได้ก็จะไปเรียกร้องให้กองทัพเข้ามาแทรกแซง ประชาธิปไตยในประเทศไทย จึงถูกมองว่าเป็นต้นตอของปัญหา ขณะที่การรัฐประหารและการแทรกแซงจากกองทัพ เป็นทางออก เราต้องบอกว่าไม่ใช่ เพราะรัฐสภาเป็นสถานที่ทรงเกียรติและเหมาะสมที่สุดที่จะแก้ปัญหา พาประเทศกลับไปสู่ประชาธิปไตย ดังนั้นเราจะต่อสู้ให้สุดทาง และยังไม่หมดหวัง
"วินาทีนี้จะพิสูจน์ว่าอนาคตใหม่ ไม่ใช่ธนาธร ไม่มีธนาธร พรรคอนาคตใหม่ก็จะทำงานได้อย่างสร้างสรรค์ และเข้มแข็งแล้วเราจะพิสูจน์ให้เห็น" นายธนาธร กล่าว