จตุพร ไม่หวั่น พรรคเพื่อชาติ ถูกยุบด้วย
อ่านเกมการเมืองหลัง ไทยรักษาชาติถูกกกต.ส่งศาลฯ ยุบพรรค พรรคเพื่อชาติ ไม่กังวลว่าจะถูกยุบด้วย ขอเดินหน้าทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ย้ำ ยุทธศาสตร์แยกกันเดิน รวมกันแพ้ เป็นเพราะรัฐธรรมนูญปี60 ถูกออกแบบไว้ หวั่นสถานการณือึมครึม การเลือกตั้งไม่เกิดขึ้น
หลังคณะกรรมการการเลือกยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ตาม พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ขณะเดียวศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องไว้แล้ว นอกจากพรรคไทยรักษาชาติแล้ว ยังมีการพูดถึงพรรคการเมือง พรรคเพื่อชาติ ที่ถูกมองว่าเป็นพรรคสำรองของ พรรคเพื่อไทย ไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อธรรม อีกกระแสหนึ่งเชื่อกันว่าเป็นพรรคตัวแทน (นอมินี) ของ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
จตุพร พรหมพันธ์ ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อชาติมองว่า หลังจากกกต.มีมติให้ยุบพรคไทยรักษาชาติ และ ประเมินถึงสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้ว่า ยังไม่มั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะพรรคการเมืองไม่ได้อยุ่ในสภาพหาเสียงอย่างจริงจัง บรรยากาศที่เกิดขึ้นยังอึมครึม เชื่อในอนาคตอาจจะยังมีวิกฤตอีกครั้ง ส่วนกรณีที่มีผู้มองว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย ไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อชาติ เพื่อธรรม เป็นดพคเดับวกัน นายจตุพรมองว่า เป็นเพราะรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ ทำให้ต้องมีการแยกตัวกัน เพราะรวมกันแพ้ แยกกันชนะ เช่นเดียวกับการแยกตัวของซีกการเมือง อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่หากฮั้วกันแพ้ทั้งหมด แต่ส่วนตัวอยู่ในฐานะกองเชียร์ เพราะเวลานี้ทำอะไรไม่ได้มาก และไม่ห่วงว่าพรรคเพื่อชาติจะคลต้องถูกยุบพรรค พราะไม่ว่าทิศทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นปัญหา จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด
"บรรยากาศมันอึมครึมจริง ๆ เพราะกลไกลรัฐธะรรมนูญมีปัญหาทุกทิศทาง เราอาจเชื่อมโยงพรรคเพื่อไทย พรรคนั้น พรรคนี้ แต่ผมบอกว่าถ้าฮั้ว กันแพ้หมด ความสำตัญเวลานี้อยู่ที่ปลายทาง กรณีไทยรักษาชาติจะถูกยุบ เชื่อว่า ทุกคนที่อยู่ในกระดานการเมืองอ่านเกมทางเดียวกันหมดด แต่ก็ต้องให้ ทษช.คิดอ่านกันเอง ส่วนเพื่อชาติกังวลถูกยุบไหม ไม่ว่าทิศทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นปัญหา ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด"
นาย จตุพร มองว่าแม้พรรคไทยรักษาชาติ จะถูกยุบพรรค แต่ก็ไม่เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ จะได้คะแนนเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะได้คะแนนน้อยกว่าพรรคพลังสามัคคีธรรมที่เคยเลือกตั้งในอดีต ส่วนคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเป็นผู้ชีขาด และ จะเข้ามาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ยังไม่มั่นใจ เพราะเท่าที่ติดตามมักจะออกมาใช้สิทธิ์น้อยกว่า คนรุ่นเก่าๆที่ผ่านมาเคยเสนอทางออกให้กับประเทศไทยเรียกร้องให้คุยกันทุกฝ่าย แต่ผู้มีอำนาจไม่ขานรับ ปัญหาที่ใหญ่กว่าปัญหาพรรคการเมือง คือ ประเทศไทยจะเดินไปทิศทางใดและเวลานี้ไม่ได้สนใจว่าพรรคใดจะเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง แต่มองว่าสิ่งที่จะประคับประคองบ้านเมืองไปในทิศทางใดเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าผลการเลือกตั้ง