
ถึงตรงนี้หลายคนคงร้องโอ้โห... แล้วตั้งคำถามต่อว่า มันมีจริงหรือ บ้างก็คิดว่า คงมีแต่ในคลิปของต่างประเทศเท่านั้น แต่ตอนนี้พี่ไทยเราทันสมัยแล้วนะคะ เพราะมีผู้ประกอบการหัวใสบางราย รับสินค้าสีเทาเหล่านี้เข้ามาขายในประเทศ ประกาศขายกันอย่างโจ่งแจ้งในเฟสบุ๊ค ร้านค้าออนไลน์ชื่อดัง ไม่เชื่อลองพิมพ์ค้นหาในกูเกิ้ลว่า สเปรย์พ่นทะเบียนรถ ก็จะมีเจ้าสินค้าชนิดนี้ โผล่ขึ้นมาให้เลือกสรรมากมายหลายยี่ห้อ หลายเกรด หลายราคา ซึ่งแต่ละตัวย่อมมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป
ความสงสัยใครรู่ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ ถึงขั้นมีคนไปตั้งกระทู้ถามในพันทิป และมันสามารถเรียกความสนใจได้มากพอสมควร บ้างก็บอกว่า เคยเจอวางขายตามท้องตลาด มีทั้งแบบฉีดพ่น และแบบสติ๊กเกอร์ตัดแปะลงไปบนป้ายทะเบียน โดยใช้หลักการสะท้อนแสง หรือการหักเหแสง เพื่อไม่ให้กล้องจราจรถ่ายติด
เราหาข้อมูลอยู่สักระยะหนึ่ง ก่อนมาสะดุดกับคำโฆษณาที่ว่า "เบื่อมั๊ย กับการถูกแอบถ่ายป้ายทะเบียนรถ และต้องไปเสียค่าปรับครั้งละหลายบาท ลองใช้สเปรย์ป้องกันการแอบถ่ายป้ายทะเบียน ช่วยคุณประหยัดเงินได้" ทำให้เราอยากรู้จักผลิตภัณฑ์นี้ให้มากขึ้น จึงติดต่อไปตามเบอร์โทรศัพท์ที่ผู้จำหน่ายให้ไว้ และนี่คือบทสนทนาบางช่วงบางตอน ที่ทีมข่าวมีโอกาสพูดคุยกับผู้จำหน่ายสเปรย์พ่นทะเบียนรถ
ทีมข่าว : สวัสดีครับ ผมเห็นร้านสเปรย์ที่ขายอยู่ในเฟสบุ๊ค ยังมีขายอยู่ไหมครับ?คนขาย : ยังเหลืออยู่ครับผมทีมข่าว : หนึ่งกระป๋อง ใช้ได้กี่แผ่น?คนขาย : ได้ประมาณ 6 แผ่น หรือ 3 คัน มันมีแผ่นหน้ากับแผ่นหลังทีมข่าว : พ่นแล้วมันติดอยู่ได้ตลอดไหม?คนขาย : ใช่ครับ อยู่ได้ตลอด พ่นครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดชีพเลยทีมข่าว : ไปอัดฉีดอะไรมาก็ปกติ อยู่ได้ตลอดเลยหรอ?คนขาย : ใช่ครับ เพราะผมเริ่มพ่น ผมก็อัดฉีดเหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไรเลย ใช้มา 6 ปีแล้วทีมข่าว : แล้วมันใช้ได้ทั้งกลางวัน กลางคืนเลยหรอพี่?คนขาย : ใช่ครับ ตัวสเปรย์มันจะช่วยเน้นให้แผ่นป้ายสามารถสะท้อนเเสงได้ง่าย และเจิดจ้ากว่าปกติ ทำให้เวลาถ่ายป้าย ถ่ายไม่ติด แล้วตัวนี้เน้นกล้องระบบเซ็นเซอร์ ถ้าเป็นกล้องวิดีโอจะป้องกันไม่ได้ เพราะว่าวิดีโอสามารถเลือกเฟรมภาพที่ชัดขึ้นมาได้ เเต่ถ้าเป็นภาพเซ็นเซอร์ มันจะถ่ายไม่ติด มันจะเบลอหมดเลย ไม่เห็นเลย แผ่นมันจะขาวหมดเลยทีมข่าว : แล้วถ้าผ่านด่าน ตำรวจจะรู้ไหมว่า เราไปพ่นมา?คนขาย : ตำรวจไม่รู้เลย ไม่ทราบเลย เพราะว่ามันจะใสๆครับทีมข่าวจบการสนทนากับผู้ขายรายนี้ ด้วยการสั่งซื้อมาทดลอง 1 กระป๋อง คนขายยังบอกทิ้งท้ายด้วยว่า โอนเงินจบครบ แล้วผมจะส่งเคอร์รี่ให้เลย
ระหว่างที่ทีมข่าวรอสเปรย์อย่างใจจดใจจ่อ ราวกับรอคอยของขวัญวันคริสต์มาส เราก็เดินทางไปที่เซียงกงบางนา เพื่อหาซื้อป้ายทะเบียนเก่าจากต่างประเทศ ที่ยกเลิกการใช้ไปแล้วมาทำการทดลอง อ้อ...ลืมบอกไป การทดลองนี้ ต้องลงทุนพอสมควร ค่าสเปรย์กระป๋องละ 1,800 บาท ส่วนค่าป้ายทะเบียนเก่าโดนไปอีก 500 บาท แต่เพื่อความสมจริง จึงต้องลงทุน!
หากคิดแบบผิวเผิน ในมุมมองผู้ใช้รถใช้ถนน นี่คงเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ และไม่น่าจะเสียหายอะไร ถ้าจะลองซื้อมาใช้สักขวด เพราะมันช่วยหลบเลี่ยงการแอบถ่ายจากกล้องจราจรที่หลายคนไม่พึงประสงค์ แต่หากคิดให้ลึก ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อาจเป็นภัยต่อสังคม และกลายเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำไปใช้ก่ออาชญากรรม ปล้นธนาคาร ร้านทอง ขนยาเสพติด กระทั่งหลบเลี่ยงการถูกจับดำเนินคดี โดยเฉพาะคดีชนแล้วหนี ที่มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
อย่างคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นกับชายวัย 35 ปี เหยื่อชนแล้วหนี ที่ประสบอุบัติเหตุขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนรถเก๋ง จนได้รับบาดเจ็บอยู่กลางถนน แต่จู่ๆ กลับมีรถเก๋งสีบรอนซ์ ขับมาด้วยความเร็ว แล้วลากร่างของเขาไปตามถนน เป็นระยะทางกว่า 800 เมตร ก่อนจะขับหลบหนีไป
สุดท้ายกล้องวงจรปิดคือ พระเอกในคดีนี้ เพราะสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ และทะเบียนรถของผู้ก่อเหตุไว้ได้อย่างชัดเจน จนเจ้าตัวทนแรงกดดันไม่ไหว ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับตำรวจ แต่เราไม่ได้เหมารวมว่า ผู้ใช้สเปรย์ล่องหนทุกคน จะนำมันไปใช้ก่ออาชญากรรมทั้งหมด เพราะบางคนอาจต้องการแค่หลบเลี่ยงกล้องจราจรเท่านั้น แต่ใครจะรับประกันความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องถนนได้
ทีมข่าวสอบถามเรื่องนี้ ไปยังกรมการขนส่งทางบก เพื่อคลายความสงสัยว่า การใช้สเปรย์พ่นทะเบียนรถ ผิดกฎหมายขนส่งหรือไม่ และได้รับการยืนยันว่า "ไม่เข้าข่ายความผิดฐานใช้แผ่นป้ายทะเบียนไม่ถูกต้อง ตกแต่ง ดัดแปลง หรือปิดบังป้ายทะเบียน ตามพรบ.รถยนต์ ปี 2522 รวมถึงไม่ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ฐานปลอมแปลง หรือใช้เอกสารราชการปลอม เนื่องจากเมื่อฉีดพ่นสเปรย์ไปแล้ว ยังสามารถมองเห็นหมวดตัวอักษร หรือตัวเลขด้วยตาเปล่า เว้นแต่สเปรย์ชนิดนั้นจะทำให้ป้ายทะเบียนเปลี่ยนสภาพไป"
เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.เอกราช ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ที่เพิ่งทราบข่าวว่า มีสเปรย์ชนิดนี้ขายอยู่ และสนใจขนาดจะให้ลูกน้องสั่งซื้อมาทดลองใช้ว่า มันได้ผลจริงหรือไม่? แต่ช่องว่างของเรื่องนี้คือ กฎหมายยังไม่สามารถเอาผิด ผู้ใช้ ผู้ขาย และผู้นำเข้าสเปรย์พ่นทะเบียนได้ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก่อให้เกิดการกระทำผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตัดต้นทางการนำเข้า โดยประสานไปยังบริษัทผู้จัดจำหน่าย และแจ้งกรมศุลกากรให้ออกคำสั่งห้ามนำเข้า
"โทษของผู้ใช้และผู้ขาย ตอนนี้ถือว่ายังไม่มีความผิด สำหรับผู้ใช้กฎหมายจะมี 2 ฉบับคือ พ.ร.บ.รถยนต์ มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นรถขนส่งป้ายเหลือง จะผิดตามพ.ร.บ.ขนส่ง มีความผิดจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนผู้สนับสนุน หรือผู้ขาย จะมีความผิดฐานเป็นผู้ให้ความสนับสนุน จะได้รับโทษ 2 ใน 3 ซึ่งวิธีการจะตามจับได้จากผู้ใช้ได้ว่า ซื้อมาจากที่ไหน แต่วิธีที่ดีกว่าการไปไล่จับคือ การห้ามเลือดตั้งแต่ต้น ห้ามนำเข้า และแจ้งบริษัทที่ขายในอินเตอร์เน็ตว่า ห้ามนำมาขาย หลังจากนี้เราจะออกประกาศห้าม"
กลับมาที่เรื่องการทดสอบสเปรย์ ซึ่งไฮไลท์อยู่ตรงนี้ หลังจากที่รอคอยมา 2 วัน ในที่สุดก็ได้รับพัสดุบรรจุสเปรย์กระป๋องสีแดงยี่ห้อหนึ่ง ทีมข่าวไม่ลังเลรีบแกะกล่อง แล้วทำการพ่นสเปรย์ลงบนแผ่นป้ายทะเบียนซ้ำหลายๆรอบ จากนั้นรอให้แห้ง ตามวิธีใช้ข้างกระป๋อง
การทดลองแผนแรกคือ ใช้กล้องไอโฟนถ่ายป้ายทะเบียนที่ผ่านการพ่นสเปรย์แล้ว โดยเปิดแฟลช ส่องสปอตไลท์เข้าไปด้วย เพื่อความสมจริง แต่ผลที่ได้คือ ชัดแจ๋ว ทั้งตัวเลขและตัวอักษร หันไปทำหน้างงกับทีมงาน ทำไมมันไม่เป็นแบบที่โฆษณา จึงโทรศัพท์กลับไปสอบถามคนขายได้คำตอบว่า นอกจากเรื่องแสงแฟลช ยังต้องมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะเรื่องความเร็ว
อ้าว...ทำยังไงต่อดีล่ะ จะไปหากล้องตรวจจับความเร็วของตำรวจ รุ่นที่มีแฟลชได้ที่ไหน? นึกขึ้นมาได้ว่า เพิ่งไปสัมภาษณ์รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง และท่านกำลังอยากทดสอบเจ้าสเปรย์นี้อยู่พอดี จึงได้รับอนุญาตให้ทดลองขับรถข่าวที่พ่นสเปรย์ วิ่งผ่านกล้องตรวจจับความเร็วบนถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกได้ แต่ขอไม่บอกนะคะว่า กล้องอยู่ตรงไหนผลปรากฎว่า... ยังไม่บอกดีกว่า รอติดตามทั้งหมดในรายการชั่วโมงสืบสวน วันอาทิตย์ที่ 16 ก.ย.นี้ เวลา 22.30-23.00 น. ทางช่องเนชั่นทีวี 22 นะคะ