1. จากรายงานผลการวิจัยของ Rhodium Group ชี้ว่า การลงทุนโดยของจีนในสหรัฐดิ่งลงอย่างฮวบฮาบในช่วงครึ่งปีแรก 2018 เหลือมูลค่าเพียง 1,800 ล้านดอลลาร์ เป็นการลดลงถึง 92% และยังเป็นการลดลงในระดับต่ำที่สุดรอบ 7 ปี
เป็นเพราะทันทีที่บรรยากาศต่างๆ ย่ำแย่ลงกระทบต่อการค้าของจีน ก็ทำให้ทุกอย่างต้องมองย้อนกลับไปในช่วงปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงที่การซื้อกิจการเพื่อขยายฐานธุรกิจไปในต่างประเทศเกิดการชะงักงัน เนื่องจากจีนต้แงประสบกับภาวะเงินทุนไหลออกอย่างรุนแรง
2. รายงานของ Rhodium ระบุว่า เม็ดเงินลงทุนโดยตรง (FDI) ของจีนที่เข้าสู่สหรัฐลดลงอย่างรวดเร็วนั้น เป็นผล 2 ด้านที่มาจากนโยบายของทางการกรุงปักกิ่งที่จ้องการระงับการโยกเงินออกไปลงทุนนอกประเทศ ฝนขณะที่ทางการสหรัฐก็มีการสกัดกั้นการลงทุนซื้อบริษัทในสหรัฐของจีน
ด้วยนโยบายและมาตรการที่นำมาใช้เพื่อดำเนินการของทั้ง 2 ด้านดังกล่าว ส่งผลกระทบทั้งการโอนย้ายเงินลงทุนของบุคคล การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนเพื่อขยายกิจการเป็นเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ในลักษณะของ Conglomerate
3. ทั้งนี้ ทางการสหรัฐได้ตั้งหน่วยงานเพื่อคัดกรองการลงทุนซื้อกิจการและบริษัทสหรัฐอย่างเข้มงวด ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันที่ทำให้เป็นความไม่แน่นอนต่อการลงทุนของจีน โดยเฉพาะมาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่่มีการกีดกันมากขึ้น
จนทำให้เกิดข้อสงสัยต่อสถานภาพของบริษัทจีนที่เข้ามาลงทุนในสหรัฐจะมีฐานะเป็นอย่างไร ดังนั้น บริษัทจีนได้ลดสัดส่วนการลงทุนโดยตรงในสหรัฐ ตามคำสั่งของรัฐบาลกรุงปักกิ่งต่อเนื่องจกปี 2017 ที่มีการลดสัดส่วนลงทุนโดยตรงไปแล้วถึง 35%
4. นอกจากนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ นักลงทุนจีนได้ทำการขายสินทรัพย์ในสหรัฐออกไปเป็นมูลค่า 9,600 ล้านดอลลาร์ด้วย ส่งผลให้การลงทุนถือครองสินทรัพย์ในสหรัฐมีฐานะลงทุนสุทธิที่ติดลบ Net (Negative Investment) ไปด้วย
โดยที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ทั้ง HNA Group Co., Anbang Insurance Group Co.และ Dalian Wanda Group Co ต้องมีการประกาศขายสินทรัพย์ต่างๆ ที่เข้าไปลงทุนซื้อไว้ก่อนหน้านี้
5. ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนยังคงอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ผ่านทางการดำเนินการทางตลาดเงิน (Open Market Operations - OMO) ในวันนี้ เพื่อลดแรงกดดันด้านสภาพคล่อง
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเม็ดเงิน 100,000 ล้านหยวน (15,500 ล้านดอลลาร์) เข้าสู่ตลาด ผ่านทางข้อตกลง reverse repo ที่ครบกำหนดไถ่ถอนมูลค่า 70,000 ล้านหยวน ซึ่งเป็นการเข้าซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์โดยมีข้อตกลงว่าจะขายคืนในอนาคต
ทำให้การอัดฉีดของธนาคารกลางจีนเป็นวงเงินสุทธิ 30,000 ล้านหยวน ที่เข้าสู่ตลาดการเงินในวันนี้ ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างสมดุลด้านการเติบโตและเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็พยายามสร้างสมดุลด้านการเติบโตและการป้องกันความเสี่ยง ท่ามกลางเงินหยวนที่อ่อนค่าลง 1.2% แตะ 6.4706 หยวนต่อดอลลาร์ในวันพฤหัสฯ