คดีนี้จะไปดูว่าคดีไหนเกิดก่อนเกิดหลังไม่ได้ ต้องดูภาพรวมพฤติกรรมทั้งหมดจึงจะเข้าใจ กระบวนการที่ปรากฎทั้งหมด "น่าเชื่อว่า ครูปรีชา เจ๊บ้าบิ่น และอดีตผู้การเมืองกาญจน์ ร่วมกันหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่ชอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว" เริ่มจากครูปรีชาไปแจ้งความสลากหาย ที่สภ.เมืองกาญจน์ เจ๊บ้าบิ่นก็ไปเป็นพยาน ต่อมาอดีตผู้การตำรวจเมืองกาญจน์ก็ได้มีการเรียกครูปรีชากับหมวดจรูญไปพบอย่างที่เราทราบกัน
พฤติการณ์ที่สำคัญมันอยู่ตรงนี้ระหว่างที่มีการสอบสวนรวบรวมหลักฐานทำสำนวนนั้น ทางอดีตผู้การฯเมืองกาญจน์ ได้มีคำสั่งให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสำนวนการสอบสวน-คำให้การของพยานปากต่างๆให้สอดคล้องเชื่อมโยงกัน อันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในสำนวนคดี ซึ่งมีตำรวจเจ้าของสำนวน 2 ปากรับสารภาพและถูกกันไว้เป็นพยาน
คดีนี้ตำรวจทำสำนวนส่งฟ้อง พลตำรวจตรี สุทธิ พวงพิกุล อดีตผู้บังคับการตำรวจเมืองกาญจน์ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ส่วนพฤติการณ์ของครูปรีชา เจ๊บ้าบิ่นที่ไปแจ้งความเท็จและให้การเท็จ แม้เกิดก่อน ก็ถือเป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการของการเจตนาร่วมกันกระทำผิดเพื่อหาผลประโยชน์ คือเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐให้กระทำ ดังนั้นอัยการจึงเห็นว่าทั้งสองคดีต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน ถือเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ตามกฎหมายสามารถฟ้องได้แค่ครั้งเดียว ถ้าหากอัยการมีความเห็นส่งฟ้องศาลอาญาแล้วภายหลังมีการยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าอัยการมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง ทำให้ไม่สามารถฟ้องคดีนี้อีก
ดังนั้นอัยการจึงมีเห็นควรส่งคดีครูปรีชา เจ๊บ้าบิ่น แจ้งความเท็จไปให้ทาง ป.ป.ช. พิจารณาร่วมกับคดีอดีตผู้การเมืองกาญจ์ บิดสำนวนคดีหวย/ และถ้าหาก ป.ป.ช.รับคดีไว้ ก็ฟ้องคดีรวมเป็นสำนวนเดียวกันเลย แต่ถ้า ป.ป.ช. จะแยกคดีแจ้งความเท็จ ส่งกลับมาให้อัยการฟ้องคดีเอง ก็ยังสามารถไปฟ้องคดีได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
ล่าสุด ทางสำนักงานป.ป.ช.ได้รับสำนวนดังกล่าวไว้แล้ว และมอบหมายให้สำนักไต่สวนภาครัฐ 1 รับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป