svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

ขยะพลาสติก อสูรกายตัวจริงแห่งท้องทะเล

ชาวโลกหรือชาวไทย อาจได้ยินเรื่องปัญหาขยะพลาสติกมาหลายปีแล้ว แม้แต่ทุกวันนี้ ยังได้ยินกันอยู่ นั่นเพราะปัญหาเรื่องนี้ยังไม่หมดสิ้น ไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้น ตามกาลเวลาด้วยซ้ำ


ซ้ำร้าย รายงานข่าวต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วงหลัง กลับยิ่งจะมีความน่าวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายคนอดคิดไม่ได้ว่า นี่คือปีศาจแห่งท้องทะเลที่หากการดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ล่าช้าออกไป บางทีความสมดุลทางท้องทะเล และผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่ "มนุษย์" จะต้องกึงกาลอวสาน!


อย่างล่าสุด วันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา มีรายงานจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ออกมาเตือนว่า หากไม่มีการเข้าแทรกแซงแก้ปัญหาในเร็ววัน คาดการณ์ว่าจำนวนขยะพลาสติกที่อยู่ในมหาสมุทรทั่วโลกจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสามเท่าภายในทศวรรษนี้


พูดง่ายๆ ว่า แค่อีกราว 10 ข้างหน้า ขยะพลาสติกในมหาสมุทรจะเพิ่มขึ้นสามเท่าตัว และที่น่าตกใจคือ ในรายงานยังพบว่า 70% ของขยะในทะเลเป็นพลาสติกที่ "ย่อยสลายไม่ได้"


ขณะเดียวกัน ในการประชุม เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ได้มีการประเมินว่า ภายในปี 2592 จะมีจำนวนขยะพลาสติกมากกว่าจำนวนปลาในมหาสมุทร หากอัตราการเพิ่มของขยะพลาสติกยังอยู่ในระดับนี้


นั่นเพราะปัจจุบัน มีขยะพลาสติกประมาณ 150 ล้านตันที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร และเพิ่มขึ้นถึง 8 ล้านตันในแต่ละปี !!


คนไทยอ่านตัวเลขที่รายงานจากฝรั่งมังค่า บางทีอาจยังไม่ตกใจ คิดว่ายังไกลตัว แต่อย่าลืมว่าปัญหาเหล่านี้ รวมถึงประเทศไทยและทุกๆ ประเทศในโลกนี้ ล้วนต้องได้รับผลกระทบทั้งสิ้น เพราะมันคือปัญหาเดียวกันที่ทุกคนมีส่วนร่วมก่อขึ้นมา


โดยเฉพาะตัวเลขที่ทั้งน่าอายและน่าตกใจ จากรายงานของ เดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล อ้างถึง www.statista.com ราวช่วงปลายปีที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ระบุว่า ไทยแลนด์ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก! ที่ปล่อยขยะพลาสติกลงมหาสมุทร โดยขยะทางทะเลส่วนใหญ่พบอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน เรียงลำดับจากมากสุด 6 อันดับ คือ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ศรีลังกา ไทย


ข้อมูลนี้ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อประกอบกับข่าวร้อนช่วงปีที่แล้วที่คนไทยต้องตกใจกับภาพของแพขยะยาว 10 กิโลเมตรลอยกลางทะเลอ่าวไทย ซึ่งสื่อหลายสำนักต่างพากันนำเสนอข่าวนี้ ขณะที่หลายคนก็ได้เห็นแล้วว่า อีกตัวอย่างรูปธรรมเมื่อปูเสฉวนเอาฝาขวด หรือเศษขวดมาทำบ้านกำบัง ไม่ใช่เรื่องขำ แต่สะท้อนความจริงได้เจ็บปวดสลดใจที่สุด !


สำหรับใครที่ยังมีคำถามเกรียนๆ ว่า ทะเลมีขยะแล้วไง ? สามารถไปหาข้อมูลได้ทั่วไป แต่ภาพของเต่าทะเลที่ต้องตายเพราะกินถุงพลาสติกเข้าไป เท่านี้ก็น่าสลดใจมากพอแล้ว ซึ่งแน่นอนยังหมายถึงสัตว์อื่นอีกนับจำนวนมหาศาลในท้องทะเลทั้งสิ้น


รวมไปถึงผลกระทบไปยังบรรดาปะการังอีกมากมาย โดยพลาสติกไปสร้างบาดแผลบนพื้นผิวที่บอบบางของปะการังเมื่อเกิดการเสียดสี ทำให้แบคทีเรียปนเปื้อนได้ง่าย และปะการังจะตายในที่สุด


หันมาดูตัวเลขของบ้านเราบ้าง สำหรับไทยเรามีจังหวัดที่มีชายฝั่งติดทะเล 23 จังหวัด มีขยะเฉลี่ยรวมกว่า 10 ล้านตันต่อปี ขยะกว่าครึ่งกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง และร้อยละ 10 ของขยะที่กำจัดไม่ถูกต้อง หรือขยะ 1 ล้านตันต่อปีจะถูกพัดพาลงทะเล ยังไม่นับรวมขยะที่เกิดจากกิจกรรมการท่องเที่ยวทางทะเลอีกด้วย (ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)


ถ้ายังไม่ตกใจมากพอ มาดูตัวเลขใหม่ล่าสุดของปีนี้กัน มีข้อมูลจาก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) รายงานตัวเลขของปริมาณขยะที่พบในทะเลไทยปี 2561 นี้ (ซึ่งเพิ่งเข้าเดือนที่ 4 เท่านั้น) แยกประเภทและจำนวนที่พบเรียงลำดับได้ดังนี้

1.ขวดเครื่องดื่ม (พลาสติก) 6,517 กิโลกรัม 2.ถุงพลาสติกอื่นๆ พบ 5,276 กิโลกรัม 3.ขวดเครื่องดื่ม (แก้ว) พบ 4,721 กิโลกรัม 4.หลอด/ที่คนเครื่องดื่ม 1,895 กิโลกรัม 5.ถ้วย/จาน (โฟม) พบ 1,853 กิโลกรัม 6.ห่อ/ถุงอาหาร (ทอฟฟี่), มันฝรั่งอบกรอบ อื่นๆ) 1,555 กิโลกรัม 7.ถุงก๊อบแก๊บ 1,543 กิโลกรัม และ 8.กล่องอาหาร (โฟม) 1,340 กิโลกรัม 9.กระป๋องเครื่องดื่ม 1,298 กิโลกรัม 10.เชือก (1 เมตร = 1 ชิ้น) 1,166 กิโลกรัม รวมแล้วเพียงต้นปีนี้ พบขยะ 10 อันดับแรกนี้ถึง 27,614 กิโลกรัม !!


นอกจากนี้ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราจะได้ยินข่าวคราวของการพบสัตว์ทะเลเกยตื้นและตายอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่ในประเทศไทย ปีที่แล้ว ทช.รายงานตัวเลขว่า พบว่าสัตว์ทะเล "หายาก" เกยตื้นระหว่างปี 2558-2560 จำแนกได้ดังนี้


1.กลุ่มเต่าทะเลจำนวน 669 ตัว แบ่งเป็น เกยตื้นมีชีวิตจำนวน 334 ตัว (คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์) และซากเกยตื้น 335ตัว (คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์)


2.กลุ่มโลมาและวาฬจานวน 547 ตัว แบ่งเป็นเกยตื้นมีชีวิตจำนวน 51 ตัว(คิด เป็น 9 เปอร์เซ็นต์) และซากเกยตื้น 496ตัว (คิดเป็น 91 เปอร์เซ็นต์)


3.กลุ่มพะยูนจำนวน 41 ตัว แบ่งเป็นเกยตื้นมีชีวิตจำนวน 6 ตัว (คิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์) และซากเกยตื้น 35 ตัว (คิดเป็น 85 เปอร์เซ็นต์)


รวมสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นทั้งหมดตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีจานวน 1,257 ตัว


สำหรับสาเหตุของการเกยตื้นของบรรดาสัตว์ทะเลเหล่านี้ ทช.ระบุว่า หากดูจำนวนการตายของสัตว์ทะเลหายาก ไม่ว่าจะเป็นโลมา วาฬ เต่าทะเล หรือพะยูน สาเหตุหนึ่งมาจากการติดเครื่องมือประมง แต่สาเหตุที่มาจากการกิน "ขยะทะเล" จึงได้ถูกยกขึ้นเป็นหนึ่งในงานเร่งด่วน ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้กำหนดแนวทางด้านต่างๆ เพื่อลดจำนวนการตายของสัตว์ทะเลหายากเหล่านี้


ส่วนการเกยตื้นของโลมาและวาฬส่วนใหญ่ ที่พบเกิดจากการป่วยตามธรรมชาติ 63% แต่ก็ต้องยอมรับว่า อีกหนึ่งในสาเหตุก็มักเกิดจากเครื่องมือประมงและขยะในทะเล ขณะที่สาเหตุการเกยตื้นหลักๆ สำหรับเต่าทะเลแลพะยูนส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องมือประมง แต่ก็มีเรื่องของขยะทะเลที่เป็นสาเหตุหนึ่งเช่นเดียวกันทั้งสิ้น


ถามว่าไทยเราจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบอย่างไร แน่นอนบ้านเรามีหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนที่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพยายามทำกันมาต่อเนื่อง โดยนอกจากภาครัฐจะดำเนินการตาม "แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ พ.ศ.2559-2564" แล้ว


ในส่วนของ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ต้นปีก็เพิ่งจับมือกับเครือข่าย TRASH HERO (หรือ กลุ่มคนที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครเก็บขยะทะเล ซึ่งมีอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ) และอีกหลายหน่วยงานเพื่อร่วมมือกันอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลและสิ่งแวดล้อม โดยการจัดการขยะในท้องทะเลและพื้นที่ชายฝั่ง ด้วยการดึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วม


ล่าสุดวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมานี้เอง ที่ Trash Hero Pattani เพิ่งช่วยกันจัดเก็บขยะทะเลที่ตกค้าง บริเวณชายหาดบ้านดาโต๊ะ ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี


ขยะที่เก็บได้ส่วนใหญ่เป็น เศษโฟม ถุงห่อขนม ขวดแก้ว กระป๋อง รองเท้า ขวดพลาสติก ฝาจุกขวด เชือก พลาสติกอื่นๆ เครื่องมือประมง หลอด รองเท้า หนักรวม 31.5 กิโลกรัม หลังจากนั้นพวกเขาจะทำการคัดแยก และประสานให้องค์การบริหารส่วนตำบลแหลมโพธิ์นำไปจัดการต่อไป


ก็ดูเหมือนว่าเป็นภารกิจที่หยุดไม่ได้ ที่คนทำงาน ก็คงต้องทำกันต่อไป ส่วนคนไทยที่เหลือ หรือมนุษย์ผู้ปล่อยปีศาจตัวจริง จะหันกลับมามองการกระทำของตัวเองมากน้อยขนาดไหน ยังน่าเป็นห่วง !


.................................................

ภาพจากเฟซบุ๊ก Trash Hero Thailand www.statista.com