เรื่อง"แหวนแม่-นาฬิกายืม"กลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์กว่าสองเดือนแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด ซ้ำนับวันดูจะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขนาดที่ว่าหากผู้นำรัฐบาลอย่าง"ประยุทธ์ จันทร์โอชา"ตัดสินใจผิดพลาด หรือล่าช้าไปกว่านี้ ดูจะเอาสถานการณ์ไม่อยู่ และถ้าถึงจุดที่ว่าต่อให้ดำเนินการอะไรก็อาจจะไม่ทันการณ์ได้
นาฬิกาหรูของ"บิ๊กป้อม"นั้นถูกจับผิดโดยโลกไซเบอร์ หลังจากที่ยกมือขึ้นมาบังแดดในวันถ่ายรูปหมู่"ครม.ตู่ 5"โดยแหวนเพชรเม็ดงาม และนาฬิกาหรูไฮเอนด์ ก็ได้ไปเตะตาเซียนเข้า เพราะนาฬิการะดับนี้มีเอกลักษณ์เป็นอย่างดี
เรื่องน่าจะหยุดแค่นั้นหาก"บิ๊กป้อม"ออกมาชี้แจงแต่เนิ่นๆ เพราะขณะนั้นเรื่องยังอยู่ที่นาฬิการาคาแพงเรือนนั้นไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเท่านั้นแต่ท่าทีคล้ายไม่อยากเปิดเผยทำให้สังคมยิ่งสงสัยและนี่เองที่สงครามไซเบอร์ได้ปะทุขึ้น
โลกออนไลน์ได้ทยอยเปิดเผยว่าที่จริงแล้วนาฬิกาหรูระดับไฮเอนด์ที่อยู่บนข้อมือของ"บิ๊กป้อม"นั้นไม่ได้มีแค่เรือนเดียวหากมีตามออกมาเป็นพรวนสถานการณ์ระส่ำขึ้นเรื่อยๆสังคมเริ่มตั้งคำถามว่า จู่ๆนาฬิกาเหล่านี้โผล่มาได้อย่างไรหลังเขาเข้าสู่อำนาจ
เมื่อถูกตั้งคำถามมากขึ้น คำแก้ต่างที่ว่า "นาฬิกายืม" ถูกปล่อยผ่านแหล่งข่าวสู่นักข่าวและเข้าสู่โลกออกไลน์ผ่านเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ชุดคำชี้แจงถูกแชร์ผ่านไปอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังไม่สามารถแก้สถานการณ์ได้ เพราะคำอ้างที่ว่านาฬิกายืมเพื่อนมา และเพื่อนคนที่ให้ยืมตายแล้วไม่ได้รับความเชื่อถือ โดยตั้งคำถามว่าใครกันหนอให้ยืมกันได้ขนาดนี้ และสนิทกันขนาดไหน
แต่อีกฝั่งก็ยังเดินหน้าเปิดคอลเลกชั่นเครื่องประดับบนข้อมือ ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่ 25 เรือน แค่นั้นก็เพียงพอกับการปลุกกระแสซัดกระหน่ำจนต้นเรื่องออกอาการซวนเซ
ชุดแก้ต่างลำดับที่สองอันว่าด้วย"แชร์นาฬิกา"จึงถูกส่งผ่านช่องทางเดิม และตามมาด้วย ชื่อเพื่อนที่ถูกระบุว่าให้ยืมและเสียชีวิตไปแล้ว นั่นก็คือ"ปัฐวาท สุขศรีวงศ์"หรือเจ้าสัวคอมลิงค์ เพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนเซนต์คาเบรียล แต่ดูเหมือนสังคมก็ยังไม่พอใจกับคำชี้แจง
แถมโลกไซเบอร์อีกด้านยังตั้งคำถามถึงการครอบครองว่า ถึงจะอ้างว่าเป็นเรื่องการ "ยืม" แต่การครอบครองเป็นเวลานาน จะถือว่า "ยืม" จริงหรือไม่ หรือเป็นการให้ในนามการ "ยืม" มิพักต้องพูดถึงการตั้งข้อสังเกตเรื่องสายนาฬิกาที่ความยาวช่างพอเหมาะพอเจาะกับข้อมือของผู้ยืมเสียเหลือเกิน ประหนึ่งตัดมาให้เป็นการจำเพาะ
โลกไซเบอร์ยังตาดี มีคนเห็น"บิ๊กป้อม"ใส่นาฬิกาเรือนดังกล่าวไปงานศพเพื่อนรักอีกด้วยยิ่งสร้างความสงสัยหนักเข้าไปอีกว่าตกลงแล้วเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
แม้ทางกฎหมายอาจจะยังเอาผิดไม่ได้ แต่พลังแห่งความสงสัยและความไม่ไว้วางใจได้ก้าวไปไกลเสียแล้ว โลกไซเบอร์ได้ก้าวเข้าสู่โลกจริงผ่านการขับไล่ ขณะที่ฝั่งรัฐก็เริ่มควบคุมคนเห็นค้าน ตามด้วยคำพูดเจ้าของข้อมือที่ยิ่งจุดไฟให้ลามทุ่งไม่ว่าจะเป็น"ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์"หรือการที่ระบุว่า"หากประชาชนไม่ต้องการจะลาออก"
ที่สุดจึงมีคนไปตั้งกระทู้รณรงค์ในเว็บรวบรวมรายชื่อรณรงค์ระดับสากลอย่าง change.org ว่าคนยังต้องการ"บิ๊กป้อม"หรือไม่ แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากเข้าไปร่วมลงชื่อในครั้งนี้ แต่ในระยะเวลาถัดกันไม่นานกลับมีผู้ที่ใช้นามแฝงเข้าไปตั้งกระทู้รณรงค์เช่นกัน โดยมีนัยเพื่อสนับสนุน"พล.อ.ประวิตร"ชั่วข้ามคืนมีผู้มาร่วมรณรงค์ทะลุหมื่นและเฉียดใกล้หลักสองหมื่น
แต่แล้วเจ้าของเว็บไซต์กลับพบสิ่งผิดปกติในการรณรงค์ดังกล่าว ว่ามีการระดมกดลงชื่อจาก IP เดียวกัน ทำให้เป็นข้อสงสัยว่ามีความตั้งใจ"ปั่น"และผู้ที่จะทำขนาดนี้ได้ต้องไม่ใช่ธรรมดาๆแน่ ทำให้ทางเว็บไซต์แก้ไขข้อมูลโดยลดจำนวนการลงชื่อที่ผิดปกติลง
นอกจากนี้ยังมีคนอีกมากโวยว่าถูกขโมยอีเมลแอดเดรสไปร่วมลงชื่อ และเข้าไปถอนชื่อรวมทั้งเรียกร้องให้คนที่สงสัยว่าถูกแอบอ้างเข้าไปตรวจสอบและถอนชื่อเช่นกัน สุดท้ายตัวเลขเฉียดสองหมื่นจึงเหลือเพียง 200 สร้างความขบขันและเรียกเสียงเย้ยหยันว่า ผู้ที่ทำมีเพียงความขยันในการ"ปั่น"ยอด แต่ลืมพกพาความ"แนบเนียน"มาด้วย ทำให้ถูกจับได้
ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แปลกที่คนจะจับตาที่ปฏิบัติการ IO หรือ Information Operation ของภาครัฐ แม้จะยังไม่มีอะไรรองรับ แต่คาดว่าหากทำสำเร็จผลที่ได้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่เมื่อไม่สำเร็จกระแสจึงพลิกกลับอย่างที่เห็น
เรื่องนี้ยังจะไม่จบลงง่ายๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า การสู้รบบนสงครามไซเบอร์นั้น จะอาศัยเพียงกำลังและความขยันไม่ได้ หากแต่ต้องอาศัยความฉลาด และความเป็นเหตุเป็นผล เพราะในโลกไซเบอร์คือ สมรภูมิที่คนทั้งโลกมาช่วยจับตา จับผิด หากเล่นพลาดก็หมายถึงความพ่ายแพ้
แต่ที่แน่ๆสงครามครั้งนี้เมื่อรบกันบนข้อมือ "บิ๊กป้อม" ก็ย่อมนำมาความเสียหายมาแก่เจ้าของข้อมืออย่างสุดจะประเมินทีเดียว
-------------
คอลัมน์ขยายปมร้อน ทาง หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ