
ปัญหาที่ล่าความจริงพบมา ก็คือการทำงานของบุคลากรในเรือนจำ นอกจากจะหนักและเสี่ยงอันตรายอย่างมากแล้ว ยังมีปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลัง ซึ่งไม่ใช่แค่พยาบาลในเรือนจำเท่านั้น แต่ "ผู้คุม" ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หลักที่ต้องทำงานกับนักโทษหลังกำแพงสูงตลอด 24 ชั่วโมง ก็กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนอย่างหนักเช่นกัน โดยอัตราส่วนผู้คุมต่อนักโทษที่เป็นมาตรฐานสากล อยู่ที่ 1 ต่อ 5 แต่ของไทยพุ่งสูงไปถึง 1 ต่อ 100 หมายถึงผู้คุม 1 คน ต้องดูแลนักโทษ 100 คน ถามว่าอาชีพหนักๆ แบบนี้ยังมีใครอยากทำอยู่หรือไม่ และแต่ละวันพวกเขาต้องใช้ชีวิตกันอย่างไร ไปติดตามจากรายงานพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟของคุณอนุรักษ์ เพ็ญสวัสดิ์
นี่แหละค่ะชีวิตหลังกำแพงคุกที่ไม่ได้มีแค่อาชญากรเท่านั้น แต่ยังมีข้าราชการตัวเล็กๆ ที่ทำงานเสี่ยงอันตรายอยู่ในนั้นด้วย ปัญหาการขาดแคลนผู้คุมและผู้ที่ทำหน้าที่อื่นๆ ในเรือนจำ จึงถือเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งนำไปพิจารณาแก้ไขปัญหา เพราะอัตราส่วนระหว่างผู้คุมกับนักโทษในเรือนจำไทย ถือว่าวิกฤติจริงๆ
นี่คือคำบอกเล่าถึงปัญหาการทำหน้าที่ของผู้ประกอบอาชีพ "ผู้คุม" นักโทษในเรือนจำ หรืออาจเรียกเก๋ๆ ว่า "พัศดี" คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนี้ สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาและเธอต้องทำงานภายใต้ความเสี่ยงและความกดดันภายในรั้วเรือนจำที่ไม่มีใครอยากเดินเข้าไป หนำซ้ำข่าวคราวการจับผู้คุมเป็นตัวประกัน หรือการก่อจลาจลในเรือนจำ ก็ยังเป็นภาพจำอันเลวร้ายในสายตาของผู้คนทั่วไปในสังคม
เรือนจำและทัณฑสถานแต่ละแห่งจะแบ่งพื้นที่ภายในเป็น "แดนขัง" หลักๆ คือ แดนชาย กับ แดนหญิง ในแดนขังชาย จะใช้ผู้คุมชาย ส่วนแดนขังหญิง ใช้ผู้คุมหญิง น่าสนใจว่านับตั้งแต่ก้าวเท้าพ้นกรงเหล็กไป พวกเขาและเธอต้องพบเจอกับอะไรบ้าง?
สมฤทัย อินทร์ฉิม หัวหน้างานควบคุมแดนหญิง เรือนจำกลางระยอง เธอทำหน้าที่ "ผู้คุม" ในเรือนจำความมั่นคงสูงแห่งนี้มานานกว่า 8 ปีแล้ว ท่ามกลางผู้ต้องขังชายหญิงมากกว่า 7 พันคน ซึ่งแดนขังหญิงที่เธอต้องปฏิบัติหน้าที่ มีผู้ต้องขังหญิงมากกว่า 700 คน แต่ผู้คุมหญิงกลับมีอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น เธอจึงต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนผู้คุม ทั้งๆ ที่ต้องทำงานเสี่ยงอันตรายกับผู้ต้องขังร้อยพ่อพันแม่
เรื่องของการขาดแคลนกำลังเจ้าหน้าที่ผู้คุม แทบทุกเรือนจำกำลังพลของผู้คุมเมื่อเทียบกับผู้ต้องขังมันต่างกันเยอะเกินไป หากเฉลี่ยแต่ละสัปดาห์มีผู้ต้องขังเข้าเรือนจำ 30-40 คน แต่จำนวนผู้คุมเท่าเดิม ความเสี่ยงก็มีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการเข้าเวรในยามค่ำคืน หากกำลังเจ้าหน้าที่ขาดไปการเข้าเวรก็ต้องถี่ขึ้นตาม การทำงานแบบที่เรียกว่าตรากตรำก็เกิดขึ้นทันที เกิดปัญหาทางร่างกายที่ไม่พร้อม นอนไม่พอ
สำหรับความเสี่ยงที่ผู้คุมต้องเจอทุกวัน ก็คือ ตัวผู้ต้องขัง บางคนมีอาการทางจิตมา หรือบางคนก็เข้าคุกเป็นว่าเล่น หรือที่เรียกกันว่าเด็กรอบที่เก๋าคุก จึงทำให้มีพฤติกรรมท้าทายกฎระเบียบของเรือนจำ
ไม่ต่างจาก สมชาย ขุดโพธิ์ นักวิชาการอบรมและฝึกอาชีพชำนาญการ ทัณฑสถานเกษตรอุตสาหกรรมเขาพริก จังหวัดนครราชสีมา ที่ทำหน้าที่นี้มานานกว่า 16 ปี และผ่านงานในเรือนจำความมั่นคงสูงหลายแห่งทั่วประเทศ เขาเล่าว่า ปัญหาความขาดแคลนผู้คุม นอกจากเรื่องของการเปิดรับอัตรากำลังพลที่น้อยมาก สวนทางกับจำนวนผู้ต้องขังที่เพิ่มขึ้นทุกวันแล้ว ภาพจำของสังคมยังมองว่า งานผู้คุมเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายอย่างมาก จนไม่มีใครอยากมาทำ
ส่วนใหญ่สังคมจะมองอาชีพนี้ว่า เป็นอาชีพที่เสี่ยงอันตรายและน่ารังเกียจ ซึ่งน่าจะเป็นอาชีพลำดับท้ายๆ ที่คนจะสมัครเข้ามาทำหน้าที่นี่ด้วย แต่ผมมองว่า เป็นอาชีพที่มีเกียรติสมควรได้รับการยกย่องในความเสียสละทั้งเวลาและครอบครัว
ผมเองไม่กล้าบอกกับแม่ว่า ทำอาชีพเป็นผู้คุมของกรมราชทัณฑ์ พอแม่มาทราบในตอนหลัง ก็ขอให้ไปลาออก เพราะอยากให้มีชีวิตอยู่นานๆ เนื่องจากได้ยินข่าวการทำร้ายเจ้าหน้าที่ผู้คุม ซึ่งเขามองว่าเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงและต้องอาศัยอยู่กับอาชญากร ก็ไม่อยากให้ลูกตัวเองอยู่ในสถานที่อันตราย
แม้ทางกรมราชทัณฑ์ที่เป็นหน่วยงานต้นสังกัดได้อนุมัติเงินค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น แลกเปลี่ยนกับการที่ต้องปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงอันตรายภายในรั้วเรือนจำ แต่สิ่งที่ผู้คุมทั่วประเทศต้องการอย่างแท้จริง นอกเหนือจากค่าตอบแทนแล้ว พวกเขาที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งก็ยังต้องการ "พื้นที่ปลอดภัยและเวลา" เพื่อให้พวกเขาได้กลับไปเจอกับครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง แต่เนื่องจากปัญหาขาดแคลนกำลังคน ทำให้ผู้คุมทุกคนต้องทำงานจนแทบไม่มีวันหยุด
ต้องขอความกรุณาผู้บริหารระดับสูงว่า อยากให้ขยายกรอบอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอกับจำนวนผู้ต้องขังที่มากขึ้นอยู่ทุกวันด้วย เพราะหากได้กำลังมาช่วยเสริม ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะเพิ่มตามไปด้วย ตัวผู้คุมเองก็ได้มีการผ่อนคลายจากความตึงเครียดสะสมที่ต้องเจอในทุกวัน ส่วนเงินค่าตอบแทนที่ได้รับพวกตนก็พอใจ แต่เชื่อว่าหลายคนต้องการเวลาพักผ่อนให้กับตัวเองและครอบครัวบ้าง
ด้านผู้บัญชาการเรือนจำกลางระยอง มองว่า ปัญหาขาดแคลนกำลังคน สาเหตุสำคัญไม่ใช่การกำหนดกรอบอัตรากำลังของกรมราชทัณฑ์เอง เพราะจำนวนอัตราที่เปิดรับสมัครผู้คุมเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ.
การทำงานที่ตรากตรำและเสี่ยงอันตราย เราก็คงไม่สามารถปฏิเสธในเรื่องนี้ได้ เพราะปัญหาด้านกำลังเจ้าหน้าที่ถือเป็นปัญหาโลกแตก ซึ่งกรอบอัตรากำลังไม่ใช่เรื่องที่กรมราชทัณฑ์กำหนด แต่เป็นสำนักงาน ก.พ.เป็นคนกำหนดว่าควรจะมีเจ้าหน้าที่เท่าไหร่ และตอนนี้สัดส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้คุมกับผู้ต้องขังมีจำนวนต่ำกว่าที่ สำนักงาน ก.พ.กำหนดไว้ด้วย
ทางเรือนจำเองก็คงต้องใช้วิธีในการแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีการควบคุมผู้ต้องขังในเรื่องของระเบียบวินัย และรู้หน้าที่ของตัวเอง แต่ในระยะสั้นๆ การดูแลผู้ต้องขังภายใต้อัตราส่วนผู้คุมที่น้อยอาจจะทำได้ แต่ในระยะยาว หากผู้ต้องขังอาจจะละเลยกฎระเบียบที่ตั้งไว้จนเกิดปัญหาขึ้นก็ได้
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในเรือนจำ ไม่ว่าจะเป็น ผู้คุม พัศดี พยาบาล นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ ยังมีน้อยเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มแพทย์และพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้มอบกรอบอัตราเจ้าหน้าที่เพิ่มมาให้ 3 พันคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอหากเทียบกับปัญหาผู้ต้องขังล้นคุก
ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าและพยาบาล นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ มีสัดส่วนน้อยไป แต่เมื่อเทียบเคียงกับกำลังพลส่วนใหญ่ที่เป็นนักทัณฑวิทยา ผู้คุม พัสดี ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางกายภาพเป็นหลัก ถือว่ายังไม่ด้อยจนเกินไปมากนัก ทางกรมเองก็พยายามที่จะรับเจ้าหน้าที่ในกลุ่มแพทย์และพยาบาลเพิ่ม แต่ก็ยังมีปริมาณที่น้อยเกินไปอยู่ โดยรัฐบาลก็ได้มอบกรอบอัตราของเจ้าหน้าที่มาให้ 3 พันคน ซึ่งรวมทั้งนักทัณฑวิทยา แพทย์และพยาบาล
เสียงสะท้อนจากข้าราชการตัวเล็กๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงอันตรายและไม่มีใครอยากทำ แต่พวกเขาก็ทำด้วยความภาคภูมิใจ เป็นอุทาหรณ์ว่ายังมีข้าราชการดีๆ อีกมากมายที่ต้องตรากตรำทำงานหนักโดยที่สังคมแทบไม่เคยรับรู้เรื่องราวของพวกเขาเลย นอกจากข่าวร้ายๆ จากคนส่วนน้อยที่กระทำผิด ทุจริตประพฤติมิชอบ
และนี่คือชีวิตหลังกำแพงสูงที่ไม่ได้มีไว้ขังเฉพาะอาชญากร แต่ยังมีชีวิตเล็กๆ ของผู้คุมที่คอยขับเคลื่อนงานเพื่อเปลี่ยนคนผิดให้เป็นคนดี และส่งคืนพวกเขากลับสู่สังคม