นอกจากนี้ การติดตามเฝ้าระวังคุณภาพแปรงสีฟันที่จำหน่ายในประเทศไทยทุก 3 ปี ในปี 2554 โดยเก็บสำรวจ แปรงสีฟันกว่า 300 รุ่น เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของฉลากและตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานวิชาการแปรงสีฟันกรมอนามัยพบว่าแปรงสีฟันที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์สโตร์ กว่าร้อยละ 80 ผ่านมาตรฐานแปรงสีฟันของกรมอนามัย
ด้านทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า แปรงสีฟันเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำคัญที่สุด ในการทำความสะอาดช่องปาก ซึ่งทุกคนต้องใช้เป็นประจำทุกวัน แปรงสีฟันที่ดีจะต้องสามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ ลดโรคเหงือกอักเสบ และไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อในช่องปากขณะที่แปรงฟัน ประชาชนจึงควรเลือกแปรงสีฟันที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน โดยดูที่ขนแปรงเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นส่วนที่สัมผัสฟันและเหงือกโดยตรงในการกำจัดคราบจุลินทรีย์ ซึ่งการวิจัยยืนยันว่าขนแปรงชนิดแข็ง ปานกลาง นุ่ม สามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ได้เหมือนกัน
"ผู้ใช้อาจรู้สึกว่าขนแปรงแข็งทำความสะอาดฟันได้ดีกว่า แต่ขนแปรงชนิดแข็งจะทำให้คอฟันสึกทำอันตรายต่อเหงือกและทำให้เหงือกร่นตามมา และยังทำให้วัสดุอุดฟันบางประเภทเสียหายได้ ในขณะที่ขนแปรงชนิดปานกลางหรือนุ่มปานกลางอาจมีผลเช่นเดียวกับขนแปรงแข็งหากใช้วิธีแปรงฟันที่ไม่เหมาะสม การเลือกขนแปรงนุ่มปลอดภัยที่สุด"ทพญ.ปิยะดากล่าว
ทพญ.ปิยะดา กล่าวอีกว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศให้แปรงสีฟันทุกยี่ห้อทุกรุ่น ต้องระบุข้อมูล 5 ข้อ คือ 1.ความอ่อนแข็งของขนแปรง 2. ลักษณะปลายขนแปรงฟัน เช่น ปลายมน ปลายเรียวแหลม 3.วัสดุที่ใช้ทำขนแปรงและด้ามแปรง 4.วิธีใช้ ข้อแนะนำ และ 5. แปรงสีฟันเด็กต้องระบุกลุ่มอายุที่เหมาะสมบนฉลากด้วย เช่น ต่ำกว่า 3 ปี 3-6 ปี 6-12 ปี เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลเพียงพอใช้ประกอบการเลือกแปรงสีฟัน
" ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือน และเมื่อแปรงฟันเสร็จ ต้องล้างให้สะอาด สะบัดแปรงสีฟันให้น้ำออกให้หมด เก็บในที่แห้ง มีอากาศถ่ายเท โดยวางแปรงสีฟันในแนวตั้ง และไม่ควรเก็บในกล่องเก็บหัวแปรง เพราะจะทำให้แห้งยาก เกิดการสะสมของเชื้อโรคได้ และไม่ควรเก็บแปรงสีฟันรวมๆกัน เพราะหากมีผู้ป่วย จะเป็นการแพร่เชื้อโรคได้" ทพญ.ปิยะดากล่าว