
กล่าวคือบุคคลสัญชาติไทยและต่างด้าวทุกคนสามารถใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟรีได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ดังนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริงและทั่วถึง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 เห็นชอบในหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะให้ความช่วยเหลือผู้ที่ลงทะเบียนรายได้น้อยและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้วจำนวน 11.67 ล้านราย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
ส่วนที่ 1 เป็นเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ผู้มีสิทธิ์สามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในวงเงินที่กำหนด ซึ่งแบ่งเป็น วงเงินค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก. /รถไฟฟ้า รายละ 500 บาทต่อเดือน (ใช้ชำระค่าโดยสาร ด้วยระบบ e-Ticket ) วงเงินค่าโดยสาร บขส. รายละ 500 ต่อเดือน ( ใช้ในการซื้อบัตรโดยสารรถ บขส. ได้ภายในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน) และวงเงินค่าโดยสารรถไฟรายละ 500 บาทต่อเดือน (ใช้ในการซื้อบัตรโดยสารรถไฟได้ภายในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน) โดยผู้มีสิทธิ์สามารถนำบัตรสวัสดิการมาใช้บริการรถเมล์ ขสมก. รถโดยสาร บขส. และรถไฟ ได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560
ส่วนที่ 2 เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ได้แก่ การลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งเป็นวงเงินสำหรับค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าที่ลงทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด
ซึ่งวงเงินทั้งสองส่วนนี้ หากประชาชนใช้ไม่หมดจะถูกตัดยอดทันทีไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป และเมื่อถึงรอบวันที่ 1 ของทุกเดือน วงเงินจะถูกปรับเป็นค่าเริ่มต้นของวงเงินแต่ละสวัสดิการเสมอ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริงและทั่วถึง และช่วยให้รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายงบประมาณและเป็นไปตามจริงของการใช้บัตร