นายบุญชัย เบญจรงคกุล หรือเจ้าสัวบุญชัย กล่าวภายหลังเข้าให้การกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ กองคดีทรัพยากรธรรมชาติปละสิ่งแวดล้อมนานกว่า 4 ชั่วโมง ว่า ดีเอสไอมีจดหมายเชิญให้ตนเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน กรณีเครือข่ายอันดามันแจ้งว่ามีนายทุนบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติในจ.พังงา ซึ่งตนได้เตรียมเอกสารมาชี้แจงให้พนักงานสอบสวนเห็นครบถ้วนว่า ตนได้ที่ดินดังกล่าวมาโดยสุจริต โดยเป็นการซื้อต่อเพื่อนที่ทำโครงการบ้านพักตากอากาศ บริษัทแคป พังงา พาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินและเป็นเพื่อนนักเรียนตนสมัยอยู่สหรัฐอเมริกา ขณะที่บริษัทแคปพังงาฯ ก็ซื้อที่ดินมาจากคนในพื้นที่อีกต่อหนึ่ง ส่วนสภาพที่ดินก่อนและหลังซื้อเป็นอย่างไร รวมถึงราคาซื้อขายตลอดจนขั้นตอนการชำระเงิน ตนได้แจ้งต่อดีเอสไอไปหมดแล้ว และเชื่อว่าทางดีเอสไอน่าจะพอใจในคำตอบที่เตรียมมาอย่างครบถ้วน รวมทั้งสัญญาซื้อขาย ใบอนุญาตก่อสร้าง ที่มาของบริษัทที่ไปไถ่ถอนที่ดินทุกแปลงจากธนาคารกสิกรไทย สำหรับที่ดินดังกล่าวจะต้องถูกเพิกถอนหรือไม่ขอให้เป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ตนมีหน้าที่มาแสดงความบริสุทธิ์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นคนบุกรุกป่า แต่ซื้อต่อมาจากบริษัทพัฒนาที่ดิน
ด้านพ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลังสอบปากคำพยานที่มีชื่อเป็นผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับที่ดินดังกล่าวไปแล้ว 2 ปาก ยัง ต้องดูข้อเท็จจริงให้ครอบคลุมอีกครั้งว่าการออกเอกสารสิทธิ์กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดีเอสไอต้องสอบสวนทุกมิติ ขณะนี้จึงยังไม่สามารถระบุเจตนาในการครอบครองที่ดินอย่างชัดเจนได้ ต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะต้องสอบพยานอีกหลายปาก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดินและป่าไม้ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าในคดีมีพยานทั้งหมดกี่ปาก เพราะเมื่อสอบปากคำไปแล้วเกี่ยวข้องกับใครเพิ่มเติมก็ต้องขยายผลสอบปากคำประจักษ์พยานรายอื่นต่อไปด้วย ขณะที่การอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศก็ต้องใช้เวลา