เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังได้มีการจำลองเหตุการณ์ระเบิดท่าเรือสาทร โดยนำก้อนอิฐรูปทรงสี่เหลี่ยม น้ำหนัก 2 กิโลกรัม ขว้างลงมาจากด้านบนถนนสะพานสาทร ฝั่งมุ่งหน้าฝั่งธนบุรีจำนวน 3 ก้อน และขว้างจากฝั่งที่มุ่งหน้าถนนสาทรจำนวน 2 ก้อน เพื่อดูทิศทางและจุดตกว่าตรงกับระเบิดที่คนร้ายขว้างลงมาหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่พบว่า จุดใกล้เคียงที่สุด คือ บริเวณเสาไฟฟ้าต้นที่ 19 บนสะพานฝั่งมุ่งหน้าถนนสาทร
ส่วนการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด พบว่า ในคืนวันที่ 17 ส.ค. 2558 หลังเกิดเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ ประมาณ 30 นาที เห็นผู้ชายคนหนึ่งลักษณะเหมือนถีบของบางอย่างลงจากสะพานสาทรลงน้ำไปตรงจุดที่เกิดระเบิด ทำให้มีการวิเคราะห์กันในขณะนั้นว่า คนร้ายอาจจะหย่อนระเบิดไว้ตั้งแต่คืนวันที่ 17 ส.ค. และจุดชนวนระเบิดแบบตั้งเวลาและระเบิดดังกล่าวต้องปิดผนึกอย่างดีเพื่อป้องกันน้ำเพราะระเบิดอยู่ในน้ำแบบข้ามวัน
แต่ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่ง กลับบอกว่า ระเบิดได้ถูกปาลงมาผ่านช่องว่างระหว่างรางรถไฟฟ้าบีทีเอส และสะพานตากสิน มุ่งหวังให้ระเบิดบริเวณสะพานคนข้าม แต่พลาดเป้าโดนราวสะพานก่อน ทำให้ระเบิดตกน้ำ พุ่งกระจายเป็นวงกว้าง แต่โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
สำหรับข้อสังเกตหนึ่ง ที่ทำให้ท่าเรือสาทร ตกเป็นเป้าในการก่อเหตุ เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และเป็นท่าเรือที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาโดยสารเรือ ณ จุดนี้ เพื่อไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ และวัดอรุณฯ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและชาวยุโรป โดยแต่ละวันท่าเรือแห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวโดยสารไม่ต่ำกว่าวันละ 3,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
ต่อมาเจ้าหน้าที่อีโอดี ระบุว่า เป็นระเบิดไปป์บอมบ์ หรือ การบรรจุระเบิดใส่ท่อเหล็ก จุดชนวนด้วยไฟแบบเดียวกับประทัด แล้วโยนลงมาจากสะพาน มีรัศมีการทำลายล้าง 35-50 เมตร มุ่งหวังเอาชีวิต ลักษณะคล้ายกับระเบิดที่ใช้ก่อเหตุที่แยกราชประสงค์ บริเวณศาลท้าวมหาพรหม
สุดท้าย มีการจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน คือ นายบิลาล เติร์ก มูฮัมเหม็ด (BILAL TURK MUHAMMED)หรืออาเดม คาราดัก และนายเมียไรลี ยูซุฟู (MEI RAI LI YU SU FU) โดยถูกกล่าวหา วางระเบิดที่บริเวณศาลท้าวมหาพรหมและท่าเรือสาทร ซึ่งคดีของคนทั้งสองอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหาร