โดยบริษัทมีความพร้อมทางการเงินสำหรับการเข้าซื้อกิจการ เนื่องจากมีวงเงินกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(ADB) รวม 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งวงเงินล็อตแรกได้มาแล้ว 20 ล้านดอลลาร์ และล็อตที่สอง 230 ล้านดอลลาร์จะลงนามข้อตกลงในช่วงปลายปีนี้ และยังมีเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเจราจาเพิ่มวงเงินเป็น 2,000-3,000 ล้านบาท จากเดิมเจรจาไว้ที่ 1,000 ล้านบาท
ดังนั้น หากเจรจาสำเร็จก็พร้อมใช้เงินในทันที และจะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้บริษัท มีกำลังผลิตเป็นไปตามเป้าหมาย 5,000 เมกะวัตต์ ในปี 2565 จากปัจจุบันที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์(COD) แล้ว 30 โครงการ กำลังผลิต 1,646 เมกะวัตต์ และที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) แล้วในปี 2565 จำนวน 44 โครงการ หรือมีกำลังผลิตในมือแล้ว 2,431 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ในช่วงปลายปีนี้ วงเงิน 3,000-5,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนเงินกู้โครงการ และมีแผนออกหุ้นกู้ต่อเนื่อง โดยมีเงินกู้โครงการทั้งหมด 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 5.5% เหลือ 4.5%ในสิ้นปีนี้ และเหลือ 4% ในปี 2561 โดยผ่านมาได้บริษัทได้ลดต้นทุนทางการเงิน ด้วยการออกหุ้นกู้โครงการโรงไฟฟ้ามูลค่า 1.15 หมื่นล้านบาท และนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินของกลุ่มบริษัทที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า รวมถึงนำเงินจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ไปชำระคืนหนี้ ทำให้หนี้สินต่อทุนลดลงมาอยู่ที่ 1.6 เท่า