"ยิ่งลักษณ์" สะอื้นกลางศาลยันบริสุทธิ์จำนำข้าว

นี่คือโอกาสสุดท้ายที่อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้แถลงด้วยวาจาต่อองค์คณะของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้ง 9 คน ซึ่งจะเป็นผู้เขียนคำพิพากษา ในคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์

ก่อนเข้าสู่เนื้อหาคำแถลงปิดคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกริ่นนำด้วยคำขอ ที่จะกล่าวกับองค์คณะทั้ง 9 "อย่างหมดใจ" เพราะเชื่อว่า ถูกดำเนินคดีอย่างไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม" มาโดยตลอดการพิจารณาคดีนี้ ในห้วงเวลา 1 ปี 6 เดือน

ข้อต่อสู้ของอดีตนายกฯ เรื่องถูกดำเนินคดีไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ ป.ป.ช.เริ่มกล่าวหาด้วยเอกสาร 329 แผ่น ใช่เวลาไต่สวน 79 วัน และชี้มูลความผิด หลักจากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งเพียง 1 วัน เป็นการเร่งรีบชี้มูลทั้งที่การสอบสวนผู้ปฏิบัติยังไม่มีข้อสรุป อีกทั้งอัยการสูงสุด สั่งฟ้องทั้งๆ ที่คณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ดำเนินการสอบสวนข้อทั้ไม่สมบูรณ์ของสำนวน และสั่งฟ้อง 1 ชั่วโมง ก่อนที่ สนช.จะลงมติเมื่อวันที่ 23 ม.ค.2558 ถอดถอนออกจากตำแหน่ง

อดีตนายกฯ ยกประเด็นความรับผิดทางแพ่งขึ้นมาอ้าง เป็นการสร้างเรื่องและพยานหลักฐานโดยไม่ชอบในลักษณ์ให้ได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีแล้วค่อยหาพยานหลักฐานมาเพิ่มเติมในภายหลัง ซ้ำรัฐบาล ใช้อำนาจตุลาการ ออกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ความเสียหาย 35,000 ล้านบาท โดยใช้ ม.44 สั่งให้กรมบังคับคดียึดเงินในบัญชีไปหมด ถือเป็นการชี้นำสังคม ชี้นำคดีอย่างไม่เป็นธรรม

ข้อหักล้างคำฟ้องโจทก์ประการต่อมา ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือ นโยบายจำนำข้าว เป็นนโยบายสาธารณประโยชน์ และดำเนินการตามกฎหมาย อีกทั้งจำเลย ไม่เลยละเลย แต่ไม่มีอำนาจระงับยับยั้งโครงการตามอำเภอใจ เพราะวิธีการบริหารนโยบายจำนำข้าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม.และเหตุที่ไม่ระงับยับยั้งเพราะเป็นโครงการที่มีประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย

อีกทั้งไม่มีเจตนาพิเศษที่จะหลีกเลี่ยงหรือปกปิดการกระทำใดๆ ที่ไม่ถูกต้องเพื่อให้เกิดการทุจริตหรือเกิดความเสียหาย รวมทั้งตัวจำเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต หรือสมยอมให้ทุจริตในการระบายข้าวแบบจีทูจี และในข้อกล่าวหา และชี้มูลความผิด ก็ไม่ได้นำเรื่องจีทูจี มาเป็นองค์ประกอบในสำนวน แต่โจทก์กลับนำเอกสาร 60,000 แผ่น เพิ่มเติมเป็นพยานในชั้นไต่สวน เพื่อปรักปรำจำเลย ว่าสมยอมให้มีการทุจริต

อดีตนายกฯ อ้างต่อศาล ว่าได้ใช้อำนาจทางการบริหารเพื่อให้การระบายข้าวมีประสิทธิภาพ ทั้งการเปลี่ยนตัว รมต.ให้เข้มงวดในการระบายข้าวแบบจีทูจี ปรับกลยุทธในการระบายข้าวภายในประเทศ นอกเหนือการระบายแบบจีทูจี

การที่โจทก์ นำหลักฐานคดีอื่นซึ่งไต่สวนเสร็จหลังจากจำเลยพ้นจากตำแหน่งนายกฯ นานร่วมปี อีกทั้งเป็นหลักฐานที่ไม่ได้อยู่ในสำนวน ป.ป.ช. มาปรักปรำจำเลย จึงถือว่าไม่เป็นธรรมน.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกกับศาลว่า ตนเองเป็นเหยื่อทางการเมืองที่ลึกซึ้ง จึงต้อพึ่งศาลสถิตยุติธรรม และสรุปว่า นโยบายจำนำข้าวไม่ใช่พาณิชย์นโยบาย เพราะมุ่งจะช่วยชาวนา แต่หากจะเกิดความผิดพลาดในระดับปฏิบัติย่อมเป็นความผิดของผู้นั้น ไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบาย จึงขอวิงวอนต่อศาล พิจารณาพิพากษาคดีตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยสุจริต จำเลย จึงเชื่อในคำกล่าวที่ว่า ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน