
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ปลาตายในแม่น้ำป่าสัก บริเวณ หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 4 ตำบลศาลารีไทย อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี คพ. ร่วมกับ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 7 (สระบุรี) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสระบุรี และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี ได้ออกตรวจสอบพื้นที่ และคุณภาพน้ำ วันที่ 20 มิถุนายน 2560 โดยสอบถามข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่พบว่า ในวันที่เกิดเหตุมีฝนตก สภาพน้ำหยุดนิ่ง และสภาพน้ำมีความขุ่น ปลาที่ตายเป็นปลาทับทิมที่เลี้ยงในกระชังปลา มีขนาดน้ำหนักประมาณตัวละ 1 กิโลกรัม โดยไม่พบว่ามีปลาในธรรมชาติตาย ซึ่งสภาพน้ำโดยทั่วไปของวันนี้ยังคงมีสภาพหยุดนิ่ง แต่น้ำมีความใสมากขึ้น และยังไม่พบว่ามีการตายของปลาในกระชังและปลาในธรรมชาติ
จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำจำนวน 3 จุด คือ จุดที่ 1 สะพานข้ามแม่น้ำ (วัดพะเยาว์) มีค่าออกซิเจนในน้ำ (DO) เท่ากับ 2 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) จุดที่ 2 บ้านกำนัน (จุดที่ปลาในกระชังตาย) มีค่าออกซิเจนในน้ำเท่ากับ 1.8 มก./ล.จุดที่ 3 วัดชุ้ง หมู่ที่ 5 มีค่าออกซิเจนในน้ำเท่ากับ 1.8 มก./ล. และค่าการตรวจวัดจากสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำอัตโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ ณ สถานีเสาไห้ มีค่าออกซิเจนในน้ำเท่ากับ 1.8 มก./ล.ซึ่งค่ามาตรฐานคุณภาพแหล่งน้ำ ค่าออกซิเจนในน้ำ ไม่น้อยกว่า 4.0 มก./ล.
จากข้อมูลดังกล่าวสามารถสันนิษฐานเบื้องต้นของสาเหตุปลาในกระชังตาย เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากในช่วงกลางวันมีแดดจัด และในช่วงเย็นมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีการพัดพาตะกอนลงสู่แม่น้ำมากขึ้น เกิดความสกปรกเพิ่มขึ้นในแม่น้ำ ทำให้ค่าออกซิเจนต่ำลง และตะกอนสามารถเข้าไปติดที่เหงือกปลา ส่งผลให้ปลาตายได้ ทั้งนี้ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 7 ได้เก็บตัวอย่างน้ำสำหรับการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุ ที่แท้จริงต่อไป และ คพ. เสนอแนะให้มีการเพิ่มการระบายน้ำจากบริเวณต้นแม่น้ำมากขึ้น เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของน้ำและเจือจางของเสียที่อาจมีในแม่น้ำ และให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากระชังใช้เครื่องเติมอากาศในน้ำในบริเวณที่เลี้ยงปลากระชัง เพื่อเป็นการเพิ่มออกซิเจนอะไรน้ำในกรณีที่ พบว่าน้ำมีการหยุดนิ่งไม่ไหลเวียนหรือปลามีการลอยหัวโดยเฉพาะในช่วงก่อนสว่าง