svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

กูรูการเงินสหรัฐชี้! ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ น่าลงทุน

กูรูการเงินสหรัฐชี้ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีความน่าลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นยุโรป เตือนถึงเวลาขายหุ้นในสหรัฐหลังราคาพุ่งแรงในช่วงที่ผ่านมาจนตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Overvalue แล้ว

ขณะที่ดัชนีหุ้นทั้ง 3 ตลาดหลักของสหรัฐพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง โดยที่ดาวโจนส์สามารถยีนเหนือระดับ 21,000 Nasdaq ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องที่ 6,100 และ S&P500 ทะลุระดับ 2,401
ส่วนธนาคารกลางแคนาดา (RBC) ออกบทวิเคราะห์เตือนนโยบายของธนาคารกลางขนาดใหญ่ที่เป็นเสาร์หลักของระบบการเงินโลก กำลังส่งผลต่อทิศทางการเงินที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากความกดดันขิงอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นและความเสี่ยงของสินทรัพย์การเงิน (Risk Assets) ทั่วโลก

1.Jeffrey Gundlach ผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุน และซีอีโอของ DoubleLine ซึ่งเคยทายถูกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้ให้คำแนะนำว่าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Markets มีความน่าลงทุนมากกว่า เพราะเป็นตลาดหุ้นที่ยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้ และดีกว่าตลาดหุ้นยุโรปในเวลานี้ด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่า นักลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่จะมีความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนที่ลดลงได้ แต่เมื่อเทียบกับภาวะ Overvalue ของราคาหุ้นในสหรัฐปัจจุบัน ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าจะยังสูงกว่า (Outperform) 
นอกจากนี้ Jeffrey Gundlach ยังชี้ว่า ตลาดไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ามากเกินไป เนื่องจากนโยบายขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในที่สุด 
ทั้งนี้ ปฏิกิริยาของตลาดในช่วงที่ผ่านมามีขายดอลลาร์ออกมาหลังจากที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐยืนยันถึงเจตนารมณ์ของทรัมป์ที่ไม่ต้องการให้เงินดอลลาร์แข็งค่ามากเกินไปในระยะสั้นแต่มั่นใจว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในระยะยาวมากกว่า ส่งผลให้ Dollar Index ลกลงหลุดลงมาที่ระดับ 98.64 ก่อนที่สวิงกลับมายืนเหนือ 99.14 ในวันนี้ หลังจากที่ Dollar Index เคยพุ่งขึ้นสูงสุดแตะ 103.29 เมื่อเดือนธัยวาคม 2016


2.ภาวะ Overvalue ที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากราคาที่พุ่งขึ้นแรงหลังจากเลือกตั้งสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยที่ดัชนีราคาหุ้นทั้ง 3 ตลาดหลักของสหรัฐพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง โดยที่ดาวโจนส์สามารถยีนเหนือระดับ 21,000 ปิดที่ 21,012 เมื่อวันจันทร์ ขณะที่ Nasdaq ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องที่ 6,100 ปิดที่ 6.102 และ S&P500 ทะลุระดับ 2,401 ก่อนทรงจีวปิดที่ 2.399
ส่วนหุ้นยุโรปแม้จะมีความน่าลงทุนมากขึ้นเนื่องจากให้ราคาที่เป็นผลตอบแทนมากขึ้นถึง 14.7% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็น 2 เท่าของผลตอบแทนจากดัชนี S&P500 ของสหรัฐ แต่การลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ก็ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตามคาดการณ์ของ Jeffrey Gundlach


3.ขณะที่ website marketwatch ระบุว่า นโยบายของ 2 ธนาคารกลางใหญ่ทั้ง PBoC ของจีน และเฟดมัใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่กระทบต่อทิศทางตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะเฟดกำลังใช้นโยบายการเงินเข้มงวดเพื่อกดดันเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งสูงขึ้น หรือ Disinflation และสกัดไม่ให้ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง (Risk Assets) จนเกินไป
ส่วน PBoC ซึ่งอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาตลอดเวลานั้น จากนี้ไปจะจับตาใกล้ชิดมากขึ้นต่อนโยบายผ่อนคลายทางการเงินตั้งแต่ต้นปีนี้โดยประคับประคองอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคาร หรือ Interbank Rate เคลื่อนไหวอยู่ในระหว่าง 1.50-4.50% ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังคงใช้นโยบานการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อรักษาสมดุลของกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินผ่านนโยบาย QE ต่อเนื่องไปอีก กับการดูแลเงินเฟ้อควบคู่กันไป


4. นอกจากนี้ CitiGroup ออกบทวิเคราะห์เตือนว่า Macro Risk Index ที่ใช้วัดการลงทุนนั้น มีความน่าเป็นห่วงมากขึ้นว่าจะทำให้การลงทุนเป็นทิศทางขาลง ทำให้ Macro Risk Index ร่วงลงมามากโดยพบว่าลงมาต่ำอย่างรวดเร็วในรอบ 31 วันจนถึงวันศุกร์สัปดาห์ก่อนที่ 4.1% ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมีความเป็นไปได้มากขึ้นนั่นเองโดยเปรียบเทียบช่วงเวลาที่เคยเกิดปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อนในช้วงปี 1997 
Macro Risk Index ของ Citigroup จะเป็นการสะท้อนภาพความอ่อนไหวของตลาดการเงิน เนื่องจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ทางการเงินจะมีสูงขึ้น โดยที่ราคาบอนด์อาจจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาหุ้นโลกจะปรับตัวลดลง


5. ความเสี่ยงที่สูงขึ้นในตลาดหุ้น Nasdaq ที่มีดัชนีทะลุเหนือระดับ 6,100 ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นั้น เป็นผลล่าสุเจากการที่ราคาหุ้นของแอปเปิ้ลพุ่งทะลุขึ้นถึง 7% สู่ระดับราคาหุ้นละ 153 ดอลลาร์ ทำให้มูลค่าตามราคาตลาดหรือ market capitalization ของแอปเปิ้ลพุ่งขึ้นแตะ 8 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งที่ราคาหุ้นของแอปเปิ้ลตกอยู่ในภาวะที่ซบเซาในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้หลังจากที่มีการออกหุ้นกู้ 7 พันล้านดอลลาร์ แต่เมื่อบริษัทนำเอานโยบายซื้อหุ้นคืนกลับมาใช้อีก โดยดันราคาหุ้นพุ่งสูงเกิน 150 ดอลลาร์ ทำให้ขนาดของมาร์เก็ตแคปพุ่งกระฉูดขึ้นมา ขณะที่วอลุ่ม (ปริมาณ) การซื้อขายเพิ่มขึ้นถึง 2.4 เท่าตัวในช่วงเวลาซื้อขายเพียง 20 วันเท่านั้น