วิเคราะห์ที่ไปที่มาของวาทะกรรมที่ว่า "คนนั่งท้ายกระบะ กลายเป็นคนจน" นั้นน่าจะมาจาก ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังมาถึงนี่แหละ
ที่เรามักจะได้เห็นภาพของผู้คนอัดนั่งท้ายกระบะกลับบ้านต่างจังหวัด
บ้างก็เล่าว่า พวกเขารวมกันหารค่าน้ำมัน เพื่อลดรายจ่ายในการกลับบ้าน (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี)
แต่การนั่งอยู่ท้ายกระบะตากแดด ตากลมหลายร้อยกิโลเมตร คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก แต่ก็เพราะว่าไม่มีทางเลือก
"เขียมค่าใช้จ่ายอย่างนี้คงไม่ใช่คนรวยแน่ๆ คนรวยคงนั่งรถเก๋ง นั่งเครื่องบินกลับบ้าน" หลายคนคิดแบบนั้น
แต่อีกแง่มุมหนึ่ง การนั่งท้ายกระบะกลับบ้าน ก็มีสีสันไม่น้อย
แม้ต้องตากแดดตากลม แต่การได้รวมตัวกัน ตั้งวงพูดคุยเล็กๆกับเพื่อน พี่น้อง หลังรถ ระหว่างทางกลับบ้าน เป็นเรื่องสนุกสนานไม่น้อย และทำให้การเดินทางกลับบ้านไม่หน้าเบื่ออีกต่อไป เป็นสีสันชีวิต !
การนั่งท้ายกระบะ อาจไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์การกลับบ้านอย่างเดียว ตอนผมไปเที่ยวที่จังหวัดน่านเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ช่วงนั้นเป็นฤดูหนาว
ผมกับเพื่อนๆ ก็เลือกนั่งท้ายกระบะ เพื่อรับลมเย็นๆ อากาศเย็นๆ ท่ามกลางธรรมชาติขุนเขาเช่นกัน
นอกจากนี้ท้ายกระบะ ยังเป็นที่ทำมาหากิน ของใครอีกหลายคน คำจัดกัดความคนจนนั่งท้ายกระบะ จึงไม่ถูกต้อง ! และจำกัดวงแคบจนเกินไป
จริงๆ แล้วผมก็ไม่เข้าใจว่าจะตอกย้ำความเป็นคนจนกันทำไม
เรื่องแบบนี้คงขึ้นอยู่กับว่า ใครมีทางเลือกแบบไหน ทางเลือกของแต่คนไม่เหมือนกัน
ตั้งแต่รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารประเทศ 'คนจน' ดูมีลักษณะเด่นชัดในสังคมมากขึ้นในมิติแปลกๆ
ทั้งการลงทะเบียนคนจน และครั้งนี้ กฎหมายห้ามนั่งท้ายกระบะ กระทบคนจน สวนทางกับ ความพยายามลดความเหลือมล้ำ
มาถึงนาทีนี้ รัฐยอมถอย กฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่มันกลับทำให้ภาพของคนจนชัดมากขึ้น..