svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

รายงานพิเศษ - คนเวียดนามนับถือศาสนาอะไร?

ตลอดทั้งสัปดาห์นี้เราจะพาท่านผู้ชมไปทำความรู้จักกับศาสนาในประเทศต่างๆ ของอาเซียนกัน เริ่มต้นวันนี้ด้วยประเทศเวียดนามครับ ท่านผู้ชมคิดว่าคนเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไรกัน ถ้ายังไม่รู้ คุณกิตติดิษฐ์ ธนดิษฐ์สุวรรณมีคำตอบครับ/

แม้ว่าเวียดนามกับประเทศไทยจะตั้งอยู่ใกล้กัน แต่ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่าชาวเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไร ในอดีตศาสนาหลักของชาวเวียดนามคือลัทธิเต๋าและขงจื๊อที่เชื่อในธรรมชาติเพราะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนที่ปกครองเวียดนามอยู่ในช่วงก่อนก่อตั้งประเทศนับพันๆ ปี แต่หลังจากที่เวียดนามได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัวตอนรวมประเทศเมื่อปี 2519 แล้ว เวียดนามก็ไม่มีศาสนาอย่างเป็นทางการ เพราะจะไปขัดกับหลักการของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เป็นแบบอเทวนิยม หรือมีแนวความคิดไม่เชื่อในพระเจ้านั่นเอง
จากการสำรวจของพิวรีเสิร์ชเซ็นเตอร์จากสหรัฐฯ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว พบว่า ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ร้อยละ 45.3 นับถือภูติผีหรือบรรพบุรุษหรือพูดง่ายๆ ว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดใด รองลงมาเป็นพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่ร้อยละ 16.4 ตามมาด้วยศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกในอันดับ 3 ที่ร้อยละ 8.2 ส่วนที่เหลืออีกราวร้อยละ 30 มีทั้งศาสนาอิสลามที่ส่วนใหญ่เป็นชาวจามหรือแขกจามแถวภาคกลางของประเทศ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู รวมทั้งศาสนาในท้องถิ่นอย่างศาสนาเก๋าได๋และศาสนาฮัวเหาด้วย
ศาสนาเก๋าได๋ เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในประเทศเวียดนามเมื่อไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมา ก่อตั้งโดยโงวันเจียว ศาสนาเกาได๋เป็นศาสนาลูกผสม โดยรวมหลักของพุทธศาสนา ลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋า และคริสต์เข้าด้วยกัน นั่นคือ ผู้เป็นศาสดาของศาสนาต่างๆ คือ พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดองค์เดียวกัน สอนให้นับถือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว นับถือบรรพบุรุษ รักความดี และความยุติธรรม ขณะที่ศาสนาฮัวเหา เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังจากเก๋าได๋เล็กน้อยบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงหรือแม่โขงเดลต้า ก่อตั้งโดยฮิน พูโซ อาศัยพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน และมีผู้นับถือประมาณสองล้านคน
แต่แม้ว่าคนเวียดนามส่วนใหญ่จะไม่มีศาสนา ตามการทำสำมะโนประชากรของเวียดนามเมื่อปี 2552 ที่ระบุว่ามีถึงร้อยละ 81 แต่ในความเป็นจริงพวกเขาอาจเพียงรายงานทางการไปเช่นนั้นเพื่อไม่ให้มีปัญหากับรัฐบาล ขณะที่กิจวัตรประจำวันยังคงเข้าวัดหรือเข้าโบสถ์อยู่ และจากการที่ผมได้ไปเที่ยวศาสนสถานหลายแห่งในโฮจิมินห์ซิตี้มาก็พบว่าค่อนข้างที่จะเป็นแบบนั้น อย่างที่เจดีย์จักรพรรดิหยกแห่งนี้ครับวัดตามความเชื่อของลัทธิเต๋าแห่งนี้ดูเหมือนกับศาลเจ้าของชาวจีนบ้านเรา เป็นสถานที่ที่ชาวเวียดนามนิยมมาขอพรกันเป็นจำนวนมากในวันหยุด โดยเมื่อก่อนมักจะขอพรเรื่องคนในครอบครัว แต่เดี๋ยวนี้เขาบอกว่ามักจะขอพรให้ประเทศชาติกันมากกว่า พิธีกรรมในวัดนี้ก็คล้ายกับของที่เมืองไทยครับ เริ่มจากการจุดธูปไปปักจุดละ 3, 2, หรือ 1 ดอกแล้วแต่เทพเจ้า เทน้ำมันตะเกียง ถวายผลไม้ รวมทั้งการปล่อยปลา และโดยเฉพาะเต่าที่มีเต็มไปหมด อัดแน่นกันจนน่าสงสารมากกว่าที่จะดูเป็นการทำบุญ แต่หากใครที่อยากมาที่นี่ ผมขอแนะนำให้ท่านผู้ชมแต่งตัวสุภาพสักเล็กน้อยด้วยครับ
ส่วนวัดของพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของโฮจิมินห์ซิตี้ก็คือ วัดซากลำ หนึ่งในศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองโดยมีอายุเก่าแก่เกือบ 300 ปี เมื่อเข้าไปในวัด เราก็จะเจอกับเจดีย์ความสูง 7 ชั้นซึ่งประดิษฐานพระประธาน ซึ่งผมก็ได้เข้าไปสักการะก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเมื่อเดินไปยังด้านข้างก็จะเจอกับสวนและน้ำตกซึ่งมีพระอวโลกิเตศวร หรือ พระโพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่ เดินไปอีกนิดหนึ่งก็จะพบกับต้นโพธิ์ซึ่งมีพระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่อยู่ใต้ต้นโพธิ์ นอกจากนี้โดยรอบบริเวณวัดยังมีสถูป และพระอุโบสถสำหรับทำพิธีด้วย
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก เป็นศาสนาที่มีชาวเวียดนามนับถือมากเป็นอันดับ 3 ซึ่งในนครโฮจิมินห์ โบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ก็ต้องเป็นโบสถ์นอทเธอดามบาซิลิก้าเลยครับโบสถ์แห่งนี้มีชื่อเต็มๆว่า Basilica of Our Lady of The Immaculate Conception ครับ มีความสูง 58 เมตร ก่อสร้างขึ้นโดยเลียนแบบมาจากโบสถ์นอทเธอดามในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในช่วงปี 2406-2423 ช่วงที่ประเทศตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชา โดยถ้านับถึงปัจจุบันแล้วสถานที่แห่งนี้ก็มีอายุเก่าแก่ถึง 134 ปีเลยล่ะครับวัดแห่งนี้เป็นวัดของพระแม่มารีอัมมัน ซึ่งคล้ายคลึงกันกับพระแม่กาลี สร้างขึ้นเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยชาวครอบครัวพ่อค้าชาวอินเดียอพยพราว 50 ครอบครัว ชาวฮินดูนิยมมาสักการะกันเพื่อขอให้หายจากโรคภัย อย่างวันที่ผมไปก็มีคนเข้าไปสักการะกันคับคั่งเลยครับ
สุดท้ายแล้วเรื่องของศาสนาก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลครับ ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไร หรือแม้จะไม่ได้นับถือศาสนาใดเลยก็ตาม ขอเพียงแค่เราเป็นคนที่อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขและไม่ไปเบียดเบียน สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เท่านี้ก็คงจะเพียงพอแล้วล่ะครับ