นายกฯเปิดตัวทีมศก.กระตุ้นเม็ดเงินไตรมาส4คาดเข้าระบบ2แสนล.

12 ตุลาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตนได้นำฝ่ายเศรษฐกิจมาร่วมแถลงข่าวด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ทุกคน ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังที่สุด แต่จะต้องครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยการประชุมวันนี้ (12ต.ค.) มีการอนุมัติหลายเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ สิ่งที่ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ศบศ. และรัฐบาล กำลังทำ คือ การบรรเทาเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบ โดยได้มีการออกมาตรการใหม่ๆ ซึ่งจะต้องทำมาตรการไปพร้อมกัน เพราะเป้าหมาย คือ ช่วยคนมีรายได้น้อย ขณะเดียวกัน ส่วนตัวขอขอบคุณภาคเอกชนและภาคธุรกิจต่างๆ ที่เข้าร่วม workshop กับรัฐบาล โดยได้มีการเสนอความคิดเห็น ให้ตนได้รับทราบ เพื่อจะได้ตรงกับความต้องการ

"ขอให้ทุกคนที่เป็นคนไทยจับมือร่วมกันคิด ร่วมกันทำ เพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้า ตามแนวทางรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งวันนี้ที่ประชุมเองก็ได้มีการพิจารณา อนุมัติมาตรการเพิ่มเติม อาทิ โครงการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และ โครงการ "ช้อปดีมีคืน" ที่มีการช่วยลดหย่อนภาษีได้ โดยเป้าหมายของทั้ง 3 โครงการนี้ คือ การคืนเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสงบของชาติบ้านเมืองให้มากที่สุด เพราะไม่อย่างนั้น จะขับเคลื่อนไปไม่ได้" นายกฯ กล่าว

ขณะที่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีนายอาคม ได้เข้ามาเติมเต็มในทีมเศรษฐกิจ จากที่หลายคนมีความกังวลเรื่องของการดำเนิน มาตรการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น ส่วนตัวขอให้หมดห่วงเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ จะเป็นไปตามเป้าหมาย และไม่ได้มีเพียงแค่ 3 คน ในทีมเศรษฐกิจ แต่นายกฯได้กำชับทั้งครม. ให้ช่วยกันสนับสนุนมาตรการทั้ง 3 ข้อ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่ง ที่ผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ ก็ควรจะเพิ่มจำนวนให้กระจายทั่วทั้งประเทศ เป็นต้น ดังนั้น ก็จะเห็นภาพการดำเนินการที่เชื่อมโยงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 กำลังจะถึงนี้ โดยคาดว่าเม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมกว่า 2 แสนล้านบาท