ข่าวล่ามาเร็วเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย คือกระแสข่าวลือที่ว่า คุณหญิงพจมาน เตรียมเข้ามาคุมพรรคเอง แต่จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง (ซึ่งจริงๆ เป็นฝ่ายค้านก็ไม่มีตำแหน่งอะไรให้รับอยู่แล้ว แถมยังไม่ได้เป็น ส.ส.ด้วย) โดยคุณหญิงจะทำหน้าที่ประสานรวบรวมอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยที่แตกหน่อออกไปทั้งหมด ให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อให้การบริหารงานพรรคมีความเป็นเอกภาพ และมีการปรับเปลี่ยนจากโครงสร้างเดิม
แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณหญิงพจมาน กับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไม่ค่อยสมัครสมานสามัคคีกันนัก เหตุนี้เองเมื่อมีข่าว คุณหญิงพจมาน เตรียมเข้ามายึดพรรค ในฐานะเจ้าของพรรคตัวจริง จึงทำให้ คุณหญิงสุดารัตน์ ต้องเก็บกระเป๋าเตรียมโบกมือลา
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ก็ประกาศเตรียมลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้ปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ซึ่งก็จะทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดเดิมต้องหลุดออกจากตำแหน่งทั้งหมด แต่ผลพวงที่จะตามมาเหมือนลูกสนุ้กกระทบชิ่ง ก็คือ ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะต้องหลุดตามตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปด้วย
เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 106 บัญญัติเอาไว้ว่า "ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร / ในกรณีที่พรรคการเมืองตามวรรคหนึ่ง มีสมาชิกเท่ากัน ให้ใช้วิธีจับสลาก
ฉะน้้นหากนายสมพงษ์ พ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ก็จะพ้นจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไปด้วยโดยอัตโนมัติ และหากพรรคเพื่อไทยมีการปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ก็ต้องหา ส.ส.มาเป็นหัวหน้าพรรค เนื่องจากหากหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็น ส.ส. ก็จะเสียตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไปเลย
สำหรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน เป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ มีบทบาทในการอภิปรายเปิดญัตติสำคัญๆ เช่น ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมต, ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่ร้ายแรงที่สุดของระบบรัฐสภา