ในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวว่า ชาวจีนจำนวนมากอาจเลิกใช้ไอโฟนหากวีแชทถูกสหรัฐฯ แบน พร้อมอ้างอิงผลการสำรวจโดยหอการค้าสหรัฐฯ ในจีนที่เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์มองว่า บริษัทจะได้รับผลกระทบในแง่ลบหากแอฟพลิเคชันของจีนถูกแบนจริง และกว่า 1 ใน 3 เชื่อว่าการกระทำของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจของโลกด้วย
โฆษกรัฐบาลจีนยังกล่าวด้วยว่า นักการเมืองสหรัฐฯ บางคนใช้อำนาจโดยมิชอบภายใต้หน้ากากของ "ภัยความมั่นคงแห่งชาติ" ซึ่งแท้จริงแล้วคือ "การปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน" เพื่อ "กดขี่" บริษัทที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ เอง การไล่ล่าบริษัทต่างชาติที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดโดย "ตีตราอุดมการณ์ทางการเมือง" คือการกลั่นแกล้งทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ และยังตรงกันข้ามกับระบบตลาดรวมทั้งหลักการแข่งขันอย่างเป็นธรรมที่สหรัฐฯ ยึดถืออย่างสิ้นเชิง การกระทำอันป่าเถื่อนเช่นนี้จะกระทบต่อสิทธิและผลประโยชน์ของธุรกิจและผู้บริโภคทั้งในต่างประเทศและในสหรัฐฯ เองด้วย ซึ่งประชาคมโลกจะออกมาคัดค้านและต่อต้านอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้มีการสำรวจความคิดเห็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวจีนบนแอปพลิเคชันเว่ยป๋อซึ่งเปรียบเสมือนทวิตเตอร์ของจีน พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 95 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดกว่า 1 ล้าน 2 แสนคนระบุว่า พวกเขาพร้อมจะเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์แทนหากไม่สามารถใช้วีแชทบนไอโฟนซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการไอโอเอสได้
อย่างไรก็ตามผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนมีมุมมองต่อความเห็นของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแตกต่างกันออกไป โดยบางคนระบุว่า แม้ตัวเองจะใช้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ล แต่เขาก็เป็นประชาชนผู้รักชาติเช่นกัน ทั้งสองประเด็นนี้จึงไม่ควรขัดแย้งกันเอง ขณะที่บางส่วนระบุว่า ไม่ว่าไอโฟนจะดีขนาดไหน มันก็เป็นแค่โทรศัพท์เครื่องหนึ่งที่สามารถหาอย่างอื่นมาทดแทนได้ ไม่เหมือนวีแชทที่เปรียบเสมือน "จิตวิญญาณ" ของคนจีนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ
แม้ปัจจุบันไอโฟนมีส่วนแบ่งเพียง 8 เปอร์เซ็นต์ของตลาดสมาร์ทโฟนในจีน แต่หากผู้บริโภคจีนพากันเลิกใช้ไอโฟนจริง แอปเปิลคงได้รับผลกระทบพอสมควร เนื่องจากในรายงานล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมพบว่า ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ (เมษายน-มิถุนายน) ไอโฟนได้ผงาดขึ้นมาเป็นสมาร์ทโฟนที่มียอดขายเติบโตมากที่สุดในจีนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยไอโฟนมียอดขาย 7.4 ล้านเครื่อง เติบโตถึง 32 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่หัวเว่ยแม้มียอดขายจำนวนมากกว่าไอโฟนหลายเท่าที่ 36.6 ล้านเครื่อง แต่อัตราการเติบโตคิดเป็นเพียง 14 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน หลังจากนี้เราคงต้องจับตาดูด้วยว่า ชะตากรรมของติ๊กต๊อกและวีแชทในสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรหลังครบกำหนด 90 วันตามคำสั่งบังคับขายกิจการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า เส้นตายดังกล่าวตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน หรือเพียง 1 สัปดาห์หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ