อินเดีย-จีน เปิดศึก!! ด้วยไม้กับก้อนหิน ตายเจ็บอื้อ

การปะทะกันที่บริเวณหุบเขากัลวาน ทางเหนือของแคชเมียร์ ในพื้นที่ที่เป็นกรณีพิพาทระหว่าง 2 ชาติ ในเบื้องต้นอินเดียยืนยันว่าฝ่ายตนสูญเสีย 3 นาย โดยเป็นพลทหาร 2 นายและนายทหาร 1 นาย แต่ในการออกแถลงการณ์เมื่อช่วงเย็นวาน มีการเพิ่มเติมว่าทหารอินเดีย 17 นายที่บาดเจ็บสาหัส ต้องเจอกับสภาพอากาศหนาวจัดระดับต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ในสภาพภูมิประเทศที่สูงชัน ได้เสียชีวิตจากพิษบาดแผล

ในส่วนของจีนยังไม่ได้ออกมาเปิดเผยความเสียหายในส่วนของตนแต่อย่างใด แต่สื่ออินเดีย รายงานอ้างว่ากองทัพจีนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากถึง 43 นาย จากการปะทะกันซึ่งเกิดเมื่อวันจันทร์และวันอังคาร
แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างตรงกันว่า งานนี้ไม่มีการใช้อาวุธปืน ทำให้ไม่ชัดเจนว่าการปะทะอะไรที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายประสบความสูญเสียมากขนาดนี้ได้ แต่ก็มีรายงานว่าการปะทะกันครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายอาจจะใช้ก้อนหินและท่อนไม้เป็นอาวุธ 
นายหู สีจิ้น บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Global Times ทวิตว่า จากข้อมูลที่เขาทราบมา ฝ่ายจีนก็ประสบกับการสูญเสียในการปะทะที่หุบเขากิลวานด้วยเช่นกัน แต่การที่จีนไม่เปิดเผยตัวเลขความเสียหายใด ๆ ถือเป็นความปรารถนาดีของฝ่ายปักกิ่ง ที่ไม่ต้องการให้ประชาชนของทั้งสองชาติ มีการเปรียบเทียบตัวเลขการสูญเสีย เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกเดือดดาลของสาธารณชน ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจะบอกกับฝ่ายอินเดียว่า อย่าตีความการอดทนอดกลั้นของฝ่ายจีนว่าเป็นความอ่อนแอ เพราะจีนไม่ต้องการปะทะกับอินเดีย แต่จีนก็ไม่กลัวอินเดีย

ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน นายจ้าว หลี่เจี้ยน เปิดเผยว่าปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้น หลังจากที่เมื่อวันจันทร์ทหารอินเดียข้ามพรมแดนเข้ามาในฝั่งจีนถึงสองครั้ง ทำการยั่วยุและโจมตีทหารจีน จนนำไปสู่การปะทะกันบริเวณพรมแดนของทั้งสองฝ่าย 

สื่ออินเดียรายงานว่า จีนและอินเดีย มีการปะทะกันหลายจุดบริเวณที่มั่นตามแนวเส้นพรมแดนระหว่างกันที่เรียกว่า  Line of Actual Control หรือ LAC  ขณะที่กระทรวงต่างประเทศอินเดียบอกว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ประสบกับการสูญเสียที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากฝ่ายจีนปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำกันไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเรื่องการเคารพในเส้นพรมแดน  LAC อย่างรอบคอบ กระทรวงบอกว่า  การปะทะกันที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามของของฝ่ายจีนแต่เพียงฝ่ายเดียวในการปรับเปลี่ยนสภาพการณ์ที่เคยเป็นอยู่ในพื้นที่
อินเดียเรียกพื้นที่พิพาทที่จีนครอบครองว่า ลาดักห์ตะวันออก ส่วนจีนเรียกเขตที่พวกเขาครอบครองว่าอัคไซจิน และกำหนดให้มันเป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองตนเองทิเบตและซินเจียง พื้นที่นี้ แต่ก่อนรัฐแคชเมียร์ ที่มีเจ้าชายเป็นประมุุขอ้างว่าเป็นของตน แต่ต่อมาอินเดียได้ผนวกมาเป็นของตนหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2490 และเรื่องแคชเมียร์นี้ก็ทำให้อินเดียมีปัญหากับปากีสถานเช่นกัน ต่อมา จีนก็อ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนแคชเมียร์บางส่วน

เส้นพรมแดนในส่วนนี้ มีการปักปันพรมแดนที่แย่มาก ส่วนมากอาศัยแนวแม่น้ำลำธาร ทะเลสาบ และพื้นผิวหิมะเป็นจุดสังเกต ทำให้พรมแดนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพอากาศ ทหารของมั้งสองฝ่ายจึงมักจะเผชิญหน้ากันอยู่หลายครั้ง  ภูมิภาคแถบนี้มีเขตช่องเขาที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์หลายแห่ง และมีทางหลวงที่เชื่อมโยงซินเจียง กับทิเบตตัดผ่านช่องเขาแห่งหนึ่ง อินเดียเคยพยายามเข้าควบคุมเขตที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์ในปี 2505 แต่สงครามที่ดำเนินไปเป็นเวลา 1 เดือน ปรากฏว่าจีนเป็นฝ่ายชนะ การสูญเสียทหารของทั้งสองฝ่ายที่เกิดขึ้นล่าสุด ถือเป็นการสูญเสียของทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่สงครามครั้งนั้น
มีรายงานว่า หลังเกิดเหตุการปะทะกันครั้งล่าสุด เจ้าหน้าที่ทหารระดับสู.ของทั้งสองฝ่ายได้มาหารือกันเพื่อหาทางทำให้สถานการณ์ไม่ขยายตัวออกไป 
สองประเทศนี้มีพรมแดนส่วนนี้ร่วมกันยาว 3,488 กิโลเมตร อินเดียได้กล่าวหาจีนมาโดยตลอดว่ายึดครองดินแดนของพวกเขา 38,000 ตารางกิโลเมตร และมีการเจรจากันหลายรอบในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ล้มเหลวทุกครั้ง เมื่อปี 2560 สองประเทศก็เคยปะทะกัน และเมื่อเดือนพฤษภาคม ทหารสองฝ่ายมีการปะทะกันตามแนวเส้น  LAC บริเวณพรมแดนรัฐสิกขิม เป็นผลให้ทั้งสองฝ่ายมีการเสริมกำลังเข้ามา แต่เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ก็มีการหารือกันของนักการทูตระดับสูงของสองชาติ รวมถึงนายทหารระดับสููง เพื่อหาทางคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน

สำหรับสาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในช่วงนี้ มองกันว่าเป็นการแข่งขันกันเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ การที่อินเดียสร้างถนนตามแนวเส้นพรมแดน LAC ทำให้จีนไม่พอใจ เพราะถนนเส้นนี้จะทำให้อินเดียสามารถขนทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์มายังพื้นที่พิพาทได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ จีนและอินเดียต่างก็เป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองทั้งคู่