ทั้งนี้เมื่อเทียบเคียงกับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าถือครองหุ้นในกิจการสื่อมวลชน ภายหลังลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และเทียบระยะเวลาการโอนหุ้นดังกล่าวช้าไป 1 เดือนถือว่าเป็นความผิดและขาดคุณสมบัติความเป็นส.ส. สำหรับกรณีของน.ส.วทันยา ที่ตรวจสอบพบว่าได้ถือครองหุ้นในบริษัทเนชั่น และทางบริษัทเนชั่น แจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในกิจการ ไม่พบชื่อของน.ส.วทันยา คือ เดือนกันยายน 2562 หลังการสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.นาน 6 เดือน ทั้งนี้กรณีดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับกรณีที่น.ส.วทันยา ได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.ภายหลังจากที่มีการประกาศรับรอง ส.ส.รอบแรกหลังการเลือกตั้ง เพราะคุณสมบัติ ว่าด้วยการถือครองหุ้นสื่อนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่วันยื่นสมัครรับเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ตนยื่น กกต. ได้ร้องขอให้ ส่งไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้พิจารณาประเด็นควาผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 มาตรา 151 พร้อมขอให้ศาลพิจารณาสั่งให้น.ส.วทันยา หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างที่ศาลรับเรื่องไว้ตรวจสอบ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกับคดีของนายธนาธร
น.ส.พรรณิการ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่น.ส.วทันยา ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาท เพราะตนแถลงข่าวกล่าวหาว่าแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนเครือเนชั่น ซึ่งตนพร้อมต่อสู้ในคดีดังกล่าว ส่วนรายละเอียดของการต่อสู้ ทั้งประจักษ์พยาน หรือการพิสูจน์ทราบถึงความสัมพันธ์กับนายฉาย บุญนาค ผู้บริหารเครือเนชั่น จะดำเนินการต่อสู้ในชั้นศาล ทั้งนี้เรื่องดังกล่าว น.ส.วทันยา เคยยืนยันว่านายฉาย เป็นคู่สมรส ดังนั้นกรณีพิสูจน์ความสัมพันธ์ถือว่าชัดเจนแล้ว.