29 ต.ค.62 - ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง เปิดเผยว่าสถานการณ์ธุรกิจขยะข้ามพรมแดน ในประเทศไทยมีความน่าเป็นห่วงและไร้การควบคุมดูแลที่เพียงพอ โดยเฉพาะการนำเข้าขยะพลาสติก โดยหลังประเทศจีนแบนการนำเข้าขยะพลาสติก ทำให้ปี 2561 ไทยมีสถิติการนำเข้าขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 2000-7000%
ซึ่งการหลอมทำลายและรีไซเคิลขยะพลาสติก เกรดต่ำ ก่อมลพิษอย่างมาก โดยปี 2018 ประเทศผู้ส่งออกขยะพลาสติกมาไทยสูงสุดคือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ปริมาณนำเข้าขยะพลาสติก 5 ปี 2014 -2018 รวมแล้ว 906,521 ตัน ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่ทำลายและรีไซเคิลขยะเหล่านี้ในประเทศตัวเอง แต่จะส่งออกมายังประเทศกำลังพัฒนา ข้อเสนอเร่งด่วนคือ รัฐบาลควรแบนการนำเข้าขยะพลาสติก เพราะหากแก้ไขปัญหาปัญหานี้ไม่ได้ ก็จะต้องเผชิญปัญหามลพิษ เช่นฝุ่น PM 2.5 ไม่จบสิ้น
ส่วนการนำเข้ากากอิเล็กทรอนิกส์ ใน 5 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มการนำเข้าสูงขึ้น โดยประเทศที่ส่งออกมาไทยมาสุดคือไต้หวัน และ จีน สถิติปริมาณการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ปี 2014 - 2018 รวมทั้งหมด 104,660 ตัน โดยในปี 2018 เพียงปีเดียวมีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 38,423 ตั้น ในขณะเดียวกัน กรมกระทรวงที่ดูแล ก็ไม่มีการตรวจสอบเข้มงวดว่าทำถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ไม่มีการตรวจสอบ หรือมีการเอาผิด ซึ่งหากถ้าเทียบรายได้ของอุตสาหกรรม รีไซเคิล กับปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษ ดูจะไม่คุ้มกัน คนจนจนลงจากปัญหาสิ่งแวดล้อม มีคนเพียงหยิบมือที่ได้รับประโยชน์จากผลกระทบที่เกิดขึ้น
ปัจจุบันพรบ.โรงงาน พ.ศ.2562 ลดขั้นตอนการขอใบ รง.4 ยิ่งเปิดช่องให้มีโรงงานรีไซเคิลเยอะขึ้น หรือสามารถขยายกิจการได้โดยไม่ต้องขออนุญาติอีก ทำให้ไม่มีการตรวจสอบมาตรฐาน และการสร้างผลกระทบ พรบ.โรงงานฉบับนี้อาจมีข้อดีในการส่งเสริมการทุนลงทุน แต่สร้างผลกระทบสูง มูลนิธิจึงอยู่เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมาย โดยอาจต้องมีการรวบรวมรายชื่อประชาชน เพื่อให้มีการแก้ไข พรบ.
สำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจขยะข้ามพรมแดนมากที่สุดในขณะนี้คือ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งมีมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมหย่อนยานกว่าที่อื่น เพื่อส่งเสริมการลงทุน