ในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง "ถ้ำหลวง : ความพร้อมรับมือโรคอุบัติใหม่" จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รพ.จุฬาลงกรณ์ โดยหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ รพ.จุฬาลงกรณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เปิดเผยถึงผลการตรวจสุขภาพ13หมูป่า และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในการหาเชื้อโรคอุบัติใหม่ ปรากฎว่า ไม่พบเชื้อที่เคยเจอในมนุษย์ ระดับความมั่นใจ ร้อยละ 99 ถือว่าไม่มีโรคแล้วแต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังโรคอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง เพราะมีโอกาสที่เชื้อเข้าไปในร่างกายและ แต่ร่างกายไม่สมยอมต่อเชื้อ ทำให้ไม่มีการแสดงอาการ แต่เชื้ออาจยังแฝงอยู่ในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายได้ โดยทางรพ.ได้ให้บัตรสุขภาพประจำปี แก่ทุกคนที่ทำงานภายในถ้ำและทีมหมูป่า ไว้รายงานตัวในการมาตรวจสุขภาพอีกครั้ง ศ.นพ.ธีระวัฒน์ บอกว่า ประเทศไทยควรมีมาตรการป้องกันนักท่องเที่ยวไม่ให้ติดโรคอุบัติใหม่ โดยเฉพาะคนที่จะไปเที่ยวถ้ำ และ แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกระทรวงกลาโหม และแอฟริม (Afrims Us-Lab) ได้มีการศึกษาแมลง เห็บ หมัด ไร ริ้น ที่ก่อโรคตามตะเข็บชายแดน ว่าพื้นที่ไหน เวลาใด มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ หากเราเอามาปรับรับกับการท่องเที่ยวได้ก็จะเป็นประโยชน์ในการดูแลตัวเอง
ขณะที่นายแพทย์เชี่ยวชาญ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค นพ.โรม บัวทอง ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมมากในเรื่องของการนำตัวเด็ก13หมูป่าออกมา และการดูแลด้านการแพทย์หลังออกจากถ้ำว่าทำได้อย่างมีมาตรฐาน แต่ก็ยังมีคนตั้งคำถามว่าใช้งบประมาณมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งขอยืนยันว่า เรื่องการควบคุมป้องกันโรคนั้นคือสิ่งจำเป็นมาก เพราะหากละเลยที่จะป้องกันโรคจนเกิดการแพร่ระบาดแล้วจะแก้ไขอะไรไม่ได้ กระทบประเทศในทุกๆ ด้าน
หากยังจำได้ก่อนหน้านี้ที่เคยมีการระบาดของโรคเมอร์สที่ประเทศเกาหลีใต้ เพียงแค่ 6 เดือนมีคนตาย และสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 3 พันล้านบาท แต่ประเทศไทยเราไม่ละเลย จะพบว่ามีเคสผู้ป่วยเมอร์ส เข้ามาที่ประเทศไทย 3 รายเราก็สามารถป้องกันการระบาดไว้ได้ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ สร้างความมั่นใจให้กับนานาชาติที่จะเดินทางเข้ามา