ในคำสั่งโจมตีของทรัมป์ อ้างว่า เพื่อตอบโต้การใช้ก๊าซพิษทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ถึง 75 คน เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา และปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากฝรั่งเศสและอังกฤษ และการโจมตีจะมีขึ้นอีกถ้ารัฐบาลซีเรียยังไม่หยุดใช้อาวุธเคมีทั้งยังเตือนรัสเซียกับอิหร่าน ที่ยังอยู่ข้างประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซ้าด ของซีเรียด้วยว่า ทั้งสองประเทศจะถูกตัดสินจากเพื่อนที่ปกป้องอยู่
นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ของอังกฤษ บอกว่า การโจมตีครั้งนี้ "จำกัดและตามเป้าหมายที่กำหนด" ด้านประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง บอกว่า เส้นแดงที่ฝรั่งเศสขีดไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2560 ถูกก้าวล่วงไปแล้ว ส่วนทางฝั่งของผู้นำซีเรีย ได้ทวิตตอบโต้หลังการโจมตีไม่กี่ชั่วโมงว่า "ไม่อาจให้จิตวิญญาณอันมีเกียรติถูกหยามได้"ขณะที่สื่อซีเรีย รายงานว่า มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บ 3 คน จากการโจมตีที่ฐานทัพในเมืองฮอมส์
สหรัฐฯ อ้างว่า การโจมตีด้วยขีปนาวุธโทมาฮอว์กว่า 100 ลูก ที่ถูกยิงจากเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่ เน้นทำลายขีดความสามารถด้านอาวุธเคมีของซีเรีย ขณะที่กระทรวงกลาโหมของรัสเซีย เย้ยว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สกัดขีปนาวุธกว่า 100 ลูก ของสามชาติพันธมิตร เป็นของซีเรียล้วนๆ และรัสเซียก็ไม่ได้ตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศจากการโจมตีของสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศส ไว้ในซีเรียแต่อย่างใด ส่วนฐานทัพสองแห่งของรัสเซีย ที่ทาร์ทัส และไคมิม ก็ไม่ได้ระคายเคืองจากขีปนาวุธของสามชาติแต่อย่างใด
ด้านนายอนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำรัสเซีย ได้แสดงความไม่พอใจต่อการโจมตี ด้วยการออกแถลงการณ์ผ่านออนไลน์ด้วยถ้อยคำที่แข็งกร้าวว่า การปฏิบัติการถล่มทางอากาศต่อซีเรียของสามชาติพันธมิตร ทำให้รัสเซียกำลังตกอยู่ในภาวะถูกคุกคาม และไม่มีการกระทำใดๆ ที่ไม่มีผลลัพธ์ตามมา ทั้งยังเป็นการหยามประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย ที่ไม่อาจยอมรับได้ ทั้งสามชาติต้องร่วมกันรับผิดชอบ