ในตอนแรกศาลชั้นต้นสั่งลงโทษทั้ง 3 คนในข้อหาจัดการชุมนุมอย่างผิดกฎหมายด้วยการให้ทำงานบริการสังคม แต่ต่อมากระทรวงยุติธรรมได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน ส่งผลให้ศาลอุทธรณ์สั่งเพิ่มโทษจำคุก 6-8 เดือน ก่อนที่จะถูกพลิกคำตัดสินอีกครั้งโดยศาลฎีกา
ผู้พิพากษากล่าวว่า โทษที่ทั้งสามได้รับรุนแรงกว่าโทษในคดีความผิดฐานชุมนุมผิดกฎหมายที่เคยมีมา ประกอบกับการพิจารณาถึงปัจจัยอื่น รวมถึงอุดมการณ์และวัยของจำเลย และไม่เคยทำผิดมาก่อน กระนั้นผู้พิพากษาย้ำว่า ฮ่องกงเป็นสังคมที่เคารพกฎหมาย และหากในอนาคตมีการชุมนุมอย่างผิดกฎหมายในวงกว้างและเกี่ยวข้องกับความรุนแรงเกิดขึ้นอีก ผู้กระทำความผิดจะต้องได้รับโทษหนักขึ้นตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วางแนวทางเอาไว้
หลังทราบคำตัดสิน โจชัว หว่อง กล่าวกับบรรดาผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่ใช่เวลาแสดงความยินดีหรือเฉลิมฉลอง เพราะคำพิพากษาบ่งว่า ในอนาคตนักเคลื่อนไหวอาจจะถูกจำคุกได้ในอนาคต แต่พวกเขาจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป แม้จะต้องถูกจำคุกอีกครั้งก็ตาม และตอนนี้แนวคิด "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ของฮ่องกงก็ยังคงถูกคุกคามอยู่
วันเดียวกันทางการจีนยอมรับครั้งแรกว่าได้ควบคุมตัวกุ้ย หมินไห่ เจ้าของสำนักพิมพ์ฮ่องกงถือสัญชาติสวีเดน เพราะละเมิดกฎหมายอาญา
กุ้ยวัย 53 ปี ถูกตำรวจบุกรวบตัวบนรถไฟขณะเดินทางใกล้ถึงกรุงปักกิ่ง เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ต่อหน้านักการทูตสวีเดน 2 คนที่เดินทางไปด้วยกัน จากนั้นไม่ทราบชะตากรรมอีกเลย ซึ่งเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาหายตัวไปด้วยพฤติการณ์แวดล้อมอึมครึมก่อนโผล่หรือได้รับการยืนยันว่าถูกจีนคุมตัวไว้
สวีเดน สหภาพยุโรปและสหรัฐเรียกร้องให้ปล่อยตัว แต่ทางการจีนแทบไม่เคยให้ข้อมูลสถานภาพทางกฎหมายของเขา กระทั่งวันอังคาร (6 ก.พ.) โฆษกกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า กุ้ย หมินไห่ ฝ่าฝืนกฎหมายจีน แต่ก็ไม่ได้ขยายความว่าเขาถูกแจ้งข้อหาใด
กุ้ยเป็นหนึ่งในผู้บริหารสำนักพิมพ์และร้านหนังสือ 5 คนที่เคยหายตัวไปแบบปริศนาในปี 2558 ก่อนปรากฏตัวอีกครั้งในจีน สำนักพิมพ์แห่งนี้มักพิมพ์หนังสือแนวซุบซิบและเจาะลึกเรื่องราวของผู้นำปักกิ่ง