หลังผ่านพ้นการบริหารประเทมาในช่วง 1 ปีแรก แต่ทรัมป์ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ถึงแม้ว่าจะถูกจายไปเกลี้ยงแผงแล้วสำหรับ Fire and Fury: Inside the Trump White House ของ Michael Wolff หนังสื่อที่มีเนื้อหาและข้อมูลลับหลากหลายของทรัมป์ ระหว่างการทำหน้าที่ในทำเนียบขาว ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ได้ถูกหยิบยกขึ้นมากอีกครั้งผ่านวีดีโอก่อนที่จะมีการแจกแกรมมีอะวอร์ดเมื่อค่ำคืนวันจันทร์
ขณะที่ตลาดรอดูถ้อยแถลงครั้งสุดท้ายของเจเน็ต เยลเลน ในฐานะประธานเฟด ก่อนที่จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ โดยที่เจอโรม พาวเวล จะมารับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่
1. ทั้งนี้ หนังสือแฉเรื่องราวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีชื่อว่า "Fire and Fury : Inside the Trump White House" เขียนโดย Michael Wolff ผู้สื่อข่าวที่เรียบเรียงเรื่องราวจากการสัมภาษณ์บุคคลใกล้ชิดกับผู้นำสหรัฐ และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในทำเนียบขาว
โดยที่ "Fire and Fury: Inside the Trump White House" มีเนื้อหาและข้อมูลลับหลากหลายของประธานาธิบดีทรัมป์ ระหว่างการทำหน้าที่ผู้นำสหรัฐ ซึ่งยังคงทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
2. ในการเตรียมตัวสำหรับการแถลงนโยบายประจำปี หรือ State of the Union ต่อสภาคองเกรส ของประธานาธิบดีทรัมป์ ในวันที่ 30 มกราคม เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะครอบคลุมเนื้อหา 5 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การจ้างงานและเศรษฐกิจ การก่อสร้างโครงการพื้นฐานของประเทศ นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ นโยบายดเานการค้าและนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ
ท่ามกลางผลโพลล์ของคนอเมริกันที่เรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ดูแลด้านประกันสุขภาพ การบริหารงานด้านเศรษฐกิจให้ดี รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นอันดับต้นๆ ในความต้องการของคนอเมริกันที่มองต่ออนาคตที่อยากให้ผ๔เนำสหรัฐดำเนินการในปีที่ 2 นี้
3. ถึงแม้ว่า "Fire and Fury : Inside the Trump White House" ของ Michael Wolff ได้นำเสนอเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับประธานาธิบดีทรัมป์ และบุคคลใกล้ชิดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปมร้อนต่างๆ ที่เกิดเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ตลอดหนึ่งปีแรก ซึ่งประกอบด้วยการคบหาฉันท์มิตรกับรัสเซีย การบรรยายปฏิกิริยาของทรัมป์หลังจากทราบข่าวชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016
อาการไม่สบอารมณ์ระหว่างพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดี ที่เขารู้สึกโกรธที่ดารามีชื่อเสียงต่างปฏิเสธที่จะมาร่วมงาน รวมทั้งไม่พอใจกับที่พักรับรองแขกของประธานาธิบดี การที่ทรัมป์ต้องขวัญอ่อนเมื่อมานอนที่ทำเนียบขาว การมอบหมายงานให้บุตรสาวทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของผู้นำสหรัฐ รวมถึงการไม่รู้ว่าต้องทำอะไรก่อน อะไรหลัง
ทั้งที่หนังสือจะถูกขายไปเกลี้ยงแผงแล้วก็ตาม ขณะที่โฆษกทำเนียบขาวตอบโต้ว่า หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเรื่องเท็จและชวนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้นำสหรัฐ แต่ภาพ Fire and Fury ยังคงติดตามตัวทรัมป์จนถึงปัจจุบัน
4. นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์จะพยายามพูดถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเขา ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของตลาดหุ้น และการผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี และนโยบาย America First ซึ่งจะเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญที่สุดเป็นครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี ทั้งการดูแลด้านรักษาความมั่นคงปลอดถัยของชาติ นโบบายด้านสิ่งแวดล้อม นโยบายการรับคนเข้าเมือง การบริหารงานด้านเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการค้าระหว่างระเทศ ยังคงถูกจับตาเป็นพิเศษ
โดยมีการคาดการณ์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะเปิดเผยโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคครั้งใหญ่มีเม็กเงินรวม 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ได้เคยรณรงค์หาเสียงไว้ในปี 2016 โดยคาดว่าโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคจะมีวงเงิน 200,000 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบของกองทุน ซึ่งจะกระจายออกไปเป็น 4 กองทุนในช่วงเวลา 10 ปี
5. ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมระยะเวลา 2 วันของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ และจะเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้ตามเวลาสหรัฐ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ และรอดูถ้อยแถลงครั้งสุดท้ายของเจเน็ต เยลเลน ในฐานะประธานเฟด ก่อนที่จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ โดยที่เจอโรม พาวเวล จะมารับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่
และประเด็นที่ตลาดจับตามองมากที่สุดคือ การพุ่งทะยานขึ้นของอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.72% เมื่อคืนวันจันทร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014 ส่วนอัตราผลตอบแทนบอนด์อายุ 30 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.95% โดยที่อัตราผลตอบแทนบอนด์อายุ 10 ปี จะพุ่งสู่ระดับ 2.8% ต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนบอนด์อายุ 30 ปี จะพุ่งสู่ระดับ 3.0%
ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในวันที่ 20-21 มีนาคมนี้ ภายใต้การนำของประธานเฟดคนใหม่ โดยที่เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมปีที่แล้ว