1. Warren Buffet นักลงทุนชื่อดังระดับโลก ระบุ Bitcoin จะจบไม่สวย "A Bad Ending" หลังจากนักลงทุนเกิดความคลั่งไคล้แห่ลงทุนในตลาด Cryptocurrency ในปีที่ผ่านมา
Warren Buffet ยังเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ กล่าวว่า กระแสความคลั่งไคล้ต่อ Bitcoin และสกุลเงินดิจิตัล หรือ Cryptocurrency อื่นๆ จะปิดฉากลง และสร้างความเสียหายต่อนักลงทุน สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่ามันจะจบลงอย่างไม่สวย ส่วนมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไร นั้นไม่รู้ เพราะถ้ามีการซื้อลงทุนเมื่อ 5 ปีที่แล้วคงได้ผลตอบแทนที่ดี แต่มาถึงวันนี้นั้นไม่มีใครรู้ได้ว่าทิศทางจะเป็นอย่างไรต่อไป
2. ทางด้าน Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan Bank ได้กลับลำเลิกวิพากษ์สิ่งที่เคยพูดถึง Bitcoin ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ถึงแม้ว่ายังคงไม่ชื่นชอบอยู่ก็ตาม ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ FOX Business เมื่อวันอังคาร
Jamie Dimon กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ Bitcoin มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่หน่วยงานรัฐบาลเริ่มที่จะกลัวเมื่อ Bitcoin มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่เขาเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่มีเห็นต่าง เพราะไม่เคยให้ความสนใจใน Bitcoin สักเท่าไร
Jamie Dimon เคยออกมาวิจารณ์อย่างรุนแรงเรื่องของ Bitcoin ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง รวมทั้งราคาที่ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงก็มาจากดารซื้อขายของพวกเทรดเดอร์เท่านั้น โดยไม่มีสินทรัพย์ใดๆ มาสนับสนุน เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยที่เขาจะไล่พนักงานในองค์กรออก หากรู้ว่าพวกเขาแอบซื้อขาย Bitcoin และ Cryptocurrency
แต่ในวันนี้ JPMorgan เตรียมตั้งโต๊ะคาดจะเปิดให้ลูกค้าสามารถเปิดเทรด Bitcoin หรือ Cryptocurrency ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้
3. ทั้งนี้ ตลาด Cryptocurrency ซึ่งมี Bitcoin มีส่วนแบ่งตลาด 70% มีการซื้อขายในปัจจุบันสูงถึง 1,360 สกุลเงิน และมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปพุ่งขึ้นสูงสุดถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีการเทรดอย่างร้อนแรงจากราคาที่ถูกสร้างและแรงปั่นให้สูงขึ้นอย่างรุนแรงมากที่สุดในปีที่แล้ว หลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นเกือบแตะจุดพีคที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 20 เท่าหรือมากกว่า 1,900% ถึงแม้ว่าจะร่วงลงในช่วงปลายปี 2017 โดยเพิ่มขึ้นทั้งปีที่ 1,500% ทั้งที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับในมูลค่าที่แท้จริง
ในที่สุดก็อาจจะล้มหายไป หากไม่มีเม็ดเงินใหม่มาสนับสนุน เนื่องจากการเกิดขึ้นของ Cryptocurrency และ Bitcoin เป็นกระทบมาจากสภาพคล่องทางการเงินที่ท่วมตลาด จากเม็ดเงินการอัดฉีดของบรรดาธนาคารกลางขนาดใหญ่ระดับโลก คือ QE รวมกันมากถึง 20 ล้านล้านดอลลาร์ตลอดช่วง 9 ปีที่ผ่านม นับจากเกิดวิกฤติการเงินและวิกฤติฟองสบู่ซับไพรม์ในสหรัฐแตก
4. อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า ทางการจีนได้สั่งปิดธุรกิจที่ะยายามสร้าง Bitcoin ให้มีขนาดใหญ่เพื่อที่จะกลายเป็น Worlds Supply of Bitcoin ด้วยการเข้มงวดต่อการซื้อขาย Cryptocurrencies ในประเทศจีน
โดยก่อนหน้านี้ ทางการจีนมีพยายามที่จะผลักดันให้มีการ Yuancoin ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินดิจิตัลโดยมีทองหนุนหลังมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้มีสภาพคล่องของเงินหยวนในตลาดการเงินโลกมากขึ้น
5. ในขณะที่ Kodak เปิดตัว Cryptocurrency ของตัวเองมีชื่อเรียกว่า Kodakcoin และมีแผนที่จะเปิดตัวปลายเดือนมกราคมนี้ โดยนับจากการประกาศดังกล่าว ราคาหุ้นของ Kodak ก็พุ่งขึ้นกว่า 120% โดยมีราคาเพิ่มขึ้นจาก 3.10 ดอลลาร์ พุ่งสูงไปที่ 6.80 ดอลลาร์
Kodak ประกาศว่า Cryptocurrency ที่ทาง Kodak เป็นผู้ผลิตนั้นจะเป็นปัจจัยสนับสนุนงบบัญชีดิจิตัลที่ต้องมีการใช้ระบบเข้ารหัส ซึ่งทาง Kodak กำลังร่วมมือกับบริษัท WENN Digital ในการพัฒนาระยะเริ่มต้น เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถรับชำระด้วย Cryptocurrency ผ่านระบบ Blockchain รวมถึงใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์ภาพตามที่บริษัทกำหนดได้อีกด้วย
Kodak ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1880 ที่นิวยอร์ก โดย George Eastman เคยเฟื่องฟูในการขาย Film ถ่ายภาพ Film ภาพยนตร์ และกล้องถ่ายรูป ที่มีสัดส่วน 85-90% ในตลาดหสรัฐ แต่เมื่อยุคสมัยเข้าสู่เทคโนโลยีในระบบดิจิตัล Kodak ก็ต้องปิดฉากลงด้วยการล้มละลายในปี 2012 ก่อนที่จะหาหนทางฟื้นตัวภายหลังเมื่อปี 2013 โดยบริษัทจะหันไปมุ่งเน้นที่สื่อการพิมพ์และภาพยนตร์ดิจิตัลมากขึ้นมาแทน
โดยที่การใช้ Blockchain และ Cryptocurrency เข้ามาช่วยในการดำเนินงาน จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับดคลื่อนธุรกิจในการขับเคลื่อนสู่อนาคตได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ มาทำให้ชุมชนของการถ่ายภาพเกิดความสร้างสรรค์และง่ายต่อบริหารจัดการ
ทั้งนี้ Kodak จะเปิดขาย Token ซึ่งเป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิตัลในวันที่ 31 มกราคมนี้ ให้แก่นักลงทุนสหรัฐและแคนาดา รวมถึงนักลงทุนที่ได้รับการรับรองจากประเทศต่างๆ ด้วย
และล่าสุด Eastman Kodak (KODK) กลับมาเป็นยืนโดดเด่นในตลาดหุ้น Wall Street อีกครั้ง โดยที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นถึง 300% นับจากวันที่ตกต่ำที่สุด