นักทฤษฎีสมคบคิดหลายคน มองว่า เครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777 เที่ยวบิน MH370 ไม่ใช่แค่ "สูญหาย" แต่ปริศนาที่อยู่เบื้องหลังอาจเกิดจากการถูก "ลักพาตัวกลางอากาศ" ด้วยระบบควบคุมระยะไกล และถูกทำให้เปลี่ยนทิศทางไปยังจีน เพื่อปกป้อง "คาร์โกลับ" ที่อยู่บนเครื่องบิน ทำให้การค้นหาประสบความล้มเหลวมาโดยตลอด แม้แทบจะพลิกผืนมหาสมุทรอินเดียไปจนเกือบจะถึงออสเตรเลียก็ตาม ในขณะที่อีกหลายคนคิดไกลไปถึงขั้นที่ว่า เครื่องบินอาจถูกฝังอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติก
นอร์แมน เดวี่ส์ นักประวัติศาสตร์และนักเขียน เชื่อว่า เครื่องบินอาจถูกควบคุมระยะไกลเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนลงจอดที่แอนตาร์กติก ซึ่งเป็นจุดอำพรางที่ดีที่สุด และอาจถูกฝังไว้ใต้ชั้นน้ำแข็งไปอีกหลายทศวรรษ และสิ่งที่สนับสนุนทฤษฎีนี้คือ การที่เครื่องบินถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการถูกจี้กลางอากาศซ้ำรอย 11 ก.ย.หรือ9/11 ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยี "Boeing Honeywell Un-interruptible Autopilot" เพื่อให้ภาคพื้นดินสามารถบังคับเครื่องบินได้ในกรณีที่ถูกสลัดอากาศจี้บนเครื่องบิน แต่ในทางกลับกัน เทคโนโลยีนี้เป็นดาบสองคม ที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถเข้ามาควบคุมระยะไกลได้เช่นกัน มันเป็นรูปแบบหนึ่งของสงครามไซเบอร์ที่อาจสร้างหายนะในอนาคต
เดวี่ส์ ยังเชื่อด้วยว่า มีบางอย่างที่ "มีค่า" อยู่บนเครื่องบิน และใครก็ตามที่ควบคุมเครื่องบิน ไม่ต้องการให้ไปตกอยู่ในมือของจีน และดูเหมือนรายการสินค้าที่ปรากฎจะ "ไม่ใช่ของจริง"
MH370 หายไป 3 ปี นับตั้งแต่ทะยานขึ้่นจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่ปักกิ่งก่อนขาดการติดต่อหลังจากนั้น 40 นาที โดยถูกพบในเรดาร์ทหารครั้งสุดท้ายบริเวณช่องแคบมะละกา เมื่อเวลา 02.14 น. ส่วนปฏิบัติการค้นหา พบเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ราว 30 ชิ้น ที่ถูกกระแสน้ำพัดไปตามเกาะห่างไกล โดยครั้งแรกพบที่เกาะเรออูนิยง ห่างจากจุดค้นหา 4,600 ก.ม. และล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม พบชิ้นส่วนปีกที่มอริเชียส แต่ไม่เคยพบผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่องที่มีมากกว่า 200 คนเลย แม้แต่คนเดียว
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเส้นทางบิน เมื่อวันที่ 8 มีนาคมปี 2557 พบว่า เครื่องบินเปลี่ยนทิศทางกระทันหันจากตะวันตกไปตะวันออก ห่างไกลจากจีนที่เป็นจุดหมายปลายทางออกไปเรื่อยๆ และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดเครื่องบินจึงออกนอกเส้นทางและตอนนี้อยู่ที่ไหน