หลังจากใช้เวลาเจรจานานกว่า 1 เดือน นายคริสเตียน ลินด์เนอร์ หัวหน้าพรรค FDP ได้บอกว่า "ไม่มีพื้นฐานแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจ" ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพันธมิตรสาย อนุรักษ์นิยม พรรคคริสเตียน เดโมแครต ยูเนียน หรือ CDU กับพรรคคริสเตียน โซเชียลยูเนียน หรือ CSU ของนางแมร์เคิล และพรรคกรีน และบอกด้วยว่า "การไม่เข้าไปร่วมบริหารมันจะดีกว่าการเข้าไปแล้วบริหารไม่ดี"
การเจรจาซึ่งทวีความเผ็ดร้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ต้องสะดุดในหลายประเด็น รวมทั้งประเด็นผู้อพยพที่นำมาซึ่งความแตกแยก โดยนโยบายเปิดรับผู้อพยพของนางแมร์เคิล ทำให้ผู้อพยพมากกว่า 1 ล้านคน ทะลักเข้าประเทศ นับตั้งแต่ปี 2558 และยังส่งผลให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนมาก หันไปเทคะแนนให้พรรคขวาจัดชาตินิยม "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" หรือ AfD ที่ชูนโยบายหาเสียงต่อต้านผู้อพยพและความหวาดกลัวอิสลามในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งเมื่อเดือนกันยายน
การที่พรรคสังคมประชาธิปไตย หรือ SDP ประกาศถอนตัวไม่ยอมร่วมรัฐบาลผสมอีกต่อไป และนางแมร์เคิลไม่อยากเสี่ยงที่จะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า นางแมร์เคิลซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ปี 2548 อาจประกาศยุบสภาฯ และจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ขณะเดียวกัน เธออาจเจอคำถามภายในพรรคของตัวเองว่า เธอยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะนำพาพรรค ในการลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่หรือไม่
"บิลด์" หนังสือพิมพ์ยอดขายอันดับ 1 ชี้ว่า ความล้มเหลวในการจัดตั้งรัฐบาลผสม อาจทำให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแมร์เคิล "แขวนอยู่บนเส้นด้าย" ขณะที่ผลสำรวจทางออนไลน์ของ "เวลท์" ระบุว่า ผู้ถูกสำรวจ 61.4% มองว่า การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ล้มเหลวอาจหมายถึงการอวสานของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแมร์เคิล และมีเพียง31.5% ที่ยังมองในทางที่ดี
แมร์เคิลต้องบากหน้าไปหาพรรคที่ไม่คุ้นเคยมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม แสดงให้เห็นว่า พรรคของเธอไม่สามารถกวาดที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร หรือ บุนเดสท้าก และการเจรจากับพรรคขนาดเล็กก็ส่อเค้าล่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยบิลด์ ระบุว่า ความล้มเหลว "ลอยอยู่ในอากาศ" ในขณะที่แต่ละพรรคยึดมั่นแต่หลักการของตัวเอง โดยพรรคกรีนต้องการให้ผู้ลี้ภัยสงครามที่ได้รับการคุ้มครองชั่วคราว ได้รับอนุญาตให้นำครอบครัวมาอยู่ที่เยอรมนีได้ และต้องการให้เลิกใช้ถ่านหินและรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ส่วนพรรค FDP ย้ำเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและการจ้างงาน