นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การยื่นหลักฐานครั้งนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 86 (1) ที่หากมีหลักฐานใหม่ปรากฏขึ้นสามารถยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.นำสำนวนเก่ามาพิจารณาใหม่ได้ ทั้งนี้ คำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯสามารถนำมาเทียบกับการสลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. และจะเห็นว่าสองคดีนี้มีความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจาก ป.ป.ช. จึงทำให้เกิดความสงสัยถึงบรรทัดฐานของการพิจารณาสำนวน จึงขอให้ทบทวนมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเดิม เพื่อให้เกิดหลักนิติธรรมที่ชัดเจน
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขณะเดียวกันการเดินทางมาครั้งนี้ ไม่ได้มาหาเรื่องหรือทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่มาเพื่อหาความยุติธรรมและขอให้เห็นใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 และเพียงขอโอกาสให้ได้รับความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม
"พวกผมมีคำถามมาโดยตลอดว่าสั่งฟ้องแก๊สน้ำตา แต่ไม่สั่งฟ้องการใช้อาวุธสงครามได้อย่างไร ยืนยันว่าพวกผมไม่ได้มาหาเรื่องแต่มาหาความยุติธรรม และขอความเห็นใจ ในเหตุการณ์ปี 53 ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ว่าคนมือเปล่า ถูกยิงนอนตายกลางถนนในเมืองหลวงกว่าร้อยชีวิต แต่ไม่รู้จะเอาผิดใคร และถึงวันนี้ก็ไม่รู้จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ไหน ความรู้สึกนี้ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็คงจะไม่ลบเลือนไปได้ พวกผมอยากได้รับโอกาสเหมือนกับกลุ่มอื่นก็เท่านั้น ขอให้ป.ป.ช.น้อมนำกระแสพระราชดำรัสที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม เรื่องความยุติธรรม ซึ่งเราไม่ได้เรียกร้องความยุติธรรมให้แกนนำแต่เรียกร้องความยุติธรรมให้ประชาชนที่บาดเจ็บ ล้มตาย เพราะเรื่องนี้ถูกผิดก็ควรไปว่ากันในชั้นศาล ไม่ใช่ยุติเรื่องโดยป.ป.ช.เสียงข้างมาก ซึ่งแตกต่างกันมากกับการส่งฟ้องคดีพันธมิตร" นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การขอให้ป.ป.ช.รื้อคดีในวันนี้เป็นการทำตามกรอบกฎหมาย แม้จะรู้ว่าสถานการณ์วันนี้เป็นเรื่องยากที่แกนนำนปช.จะส่งเสียงออกมาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เสียงดังกล่าวนั้นออกมาจากหัวใจที่เจ็บปวด หากป.ป.ช.ไม่ตอบสนอง แกนนำนปช.จะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต่ำกว่าสองหมื่นรายชื่อยื่นประธานรัฐสภา เพื่อให้พิจารณาเห็นชอบ ยื่นคำร้องต่อประธานศาลฎีกาเพื่อดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนอิสระขึ้นสอบคณะกรรมการป.ป.ช.ต่อไป เราอดทนรอคอยคดีนี้มานาน และจะรอคอยจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จากนั้นจึงจะดำเนินการตามขั้นตอนนี้หากเห็นว่าป.ป.ช.ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นปช.ไม่ขัดข้องหากป.ป.ช.เห็นว่าควรจะยื่นอุทธรณ์ในคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ปี 51 เพราะถือเป็นอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งหมายความว่าป.ป.ช.ได้ใช้อำนาจหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้วต่อกรณีดังกล่าว แต่นปช.จะรอดูว่าในคดีสลายการชุมนุมนปช.ปี 53 นั้นป.ป.ช.จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เราเชื่อว่าความอยุติธรรมนั้นทำลายสังคม ก่อให้เกิดความเจ็บปวด และแตกแยกในสังคม เราไม่ได้มาเพื่อเผชิญหน้ากับกรรมการป.ป.ช. แต่ต้องการให้ป.ป.ช.เผชิญหน้ากับความอยุติธรรมที่เราได้รับ เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของป.ป.ช.ที่จะขับไล่ความอยุติธรรมนี้ออกไปด้วยความสุจริตตรงไปตรงมา เราไม่ได้กล่าวหาว่าใครปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่หากพบว่าการปฏิบัติหน้าที่นั้นไม่สุจริตเราจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว
"การชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นใช้เวลาเพียงวันเดียว แต่ในสำนวนของป.ป.ช.ได้แยกเป็นสองเหตุการณ์ ขณะที่การสลายการชุมนุมของนปช.ใช้เวลา 1เดือน การบาดเจ็บและเสียชีวิตเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ ต่างสถานที่ ผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งไม่ใช่ผู้ชุมนุม มีอาสาสมัครพยาบาลเสียชีวิตด้วยโดยคดีนี้ป.ป.ช.ได้พิจารณาแบบเหมารวมให้เป็นเหตุการณ์เดียว โดยอ้างคำวินิจฉัยศาลที่มีขึ้นก่อนยุติการชุมนุมตั้ง 1 เดือน เราจึงได้ยื่นขอให้ป.ป.ช.พิจารณาโดยแยกเหตุการณ์ เช่น เหตุการณ์ที่วัดปทุมฯ แยกบ่อนไก่ ถนนราชปรารภ เป็นต้น" นายณัฐวุฒิ กล่าว