เส้นทางสายฟุตบอลของ เสี่ยบิ๊ก เข้ามาทำทีมฟุตบอลเพื่อนตำรวจ อย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2014 จาก ความสัมพันธ์ ที่ แนบแน่นกับ พล.ต.อ. วรพงษ์ ชิวปรีชา รูปแบบการบริหารของนายสัมฤทธิ์ จึงใช้คำว่า ประธานบริหารสโมสร เพื่อนตำรวจ ต่างจากทีมอื่น ที่ใช้คำว่า ประธานสโมสร ที่สิทธิขาดทั้งหมด จะอยู่ที่ตำแหน่งนี้
การทำทีมในขณะนั้น ใช้เงินลงทุนนต่อฤดูกาลมากกว่า 120 ล้านบาท และพ่วงการสนับสนุน ทีมนนทบุรี เอฟซี ในลีกภูมิภาค ขณะนั้นด้วย ซึ่งเป็นทีมในการสนับสนุนจากตำรวจ
นอกจากนั้น เสี่ยบิ๊ก เข้าไปเกี่ยวพันกับสโมสร เรดดิ้ง ของอังกฤษ ในฐานะผู้ร่วมทุน มาจากการมองเห็นมูลค่าทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เพราะไปทำสโมสร พร้อมซื้อกิจการโรงแรม ตัวสนามฟุตบอลเรดดิ้ง และ โรงแรม อยู่ใกล้ท่าอากาศยานฮีทโธรว์
หลังจากทีม เพื่อนตำรวจตกชั้น ไปที่ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2015 เสี่ยบิ๊ก ก็เดินหน้าทำทีมต่อ จนขึ้นมาไทยลีก มูลค่าการลงทุนฤดูกาล 2015 ลดลงมา เหลือที่ 100 ล้านบาท
สถานการณ์ ของฤดูกาล 2015 เริ่มมีปัญหาตามมาว่าด้วยเรื่องของการตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกง โดยมีตัวละคร ที่เชื่อมโยงคือ บริษัทบิลเลี่ยน
ปัญหาในทีมเพื่อนตำรวจ ทางด้านการเงิน ทำให้ผู้เล่นของทีมไม่ได้รับเงินเดือนนาน 6 เดือน ก่อนที่เสก โลโซ ร็อคสตาร์ชื่อดัง จะเข้าไปซื้อทีมสโมสรนี้ ปรากฎเป็นข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 ทำการจับกุมตัว นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ได้เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 17 ม.ค. 59 โดยตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 90/2559 ลงวันที่ 15 ม.ค.59 ในข้อหาร่วมกันปลอมตั๋วเงิน และใช้ตั๋วเงินปลอม ,ร่วมกันฉ้อโกง ,ร่วมกันออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คฯ หลังจากเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงิน สกสค. ทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) กับบริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ของนายสัมฤทธิ์ จนมีความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 2.5 พันล้านบาท