นักข่าวแจ้งความ"ถูกคุกคาม"หลังเกาะติดข่าวภูทับเบิก

วันที่ 20 ตุลาคม 58 นายสนม บุญจันทึก นักข่าวเครือเนชั่น ประจำจ.เพชรบูรณ์ และนายสุนทร คงวราคม นักข่าวหนังสือพิมพ์มติชนและโพสต์ทูเดย์และสำนักข่าวไอเอ็นอ็น จ.เพชรบูรณ์ ได้รุดแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.หล่มสักและ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ไว้เป็นหลักฐาน หลังจากได้รับแจ้งจากผู้ประสงค์ดีว่า มีการโพสต์รูปนักข่าวทั้งสองลงในเฟสบุ๊กของกลุ่มคนที่แสดงพฤติกรรมตรงกันข้ามกับการจัดระเบียบภูทับเบิกของเจ้าหน้าที่ และไม่เห็นด้วยกับการเสนอข่าวของสื่อโดยเฉพาะสื่อทีวีบางช่อง โดยอ้างว่ามีการบิดเบือนข่าว
จากนั้นได้มีสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเรียกร้องให้ชาวม้งในพื้นที่จดจำนักข่าวสองคนนี้ให้ดี ขณะที่บางรายถึงกับระบุว่า หากมีนักข่าวเข้ามาให้แจ้งให้ทราบเพื่อจะนำขี้ไปปาใส่ โดยนักข่าวทั้งสองเห็นว่าเป็นการกระทำที่คุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างชัดเจน จึงได้เข้าร้องทุกข์แจ้งความไว้เป็นหลักพร้อมยืนยันว่าไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับคนเหล่านี้มาก่อน นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตถึงบุคคลที่โพสต์รูปทั้งสองว่ามีเจตนาเคลือบแฝงอะไรหรือไม่ เนื่องจากพบว่ามีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับนายทุนเจ้าของรีสอร์ตบางรายอย่างแนบแน่น
ด้านนายไกรสร กองฉลาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวถึงกรณีที่ปูดเรื่องกระแสคลื่นใต้น้ำ โดยกลุ่มนายทุนรีสอร์ทบางรายที่อยู่ในข่ายสูญเสียผลประโยชน์ และถูกกรมป่าไม้เพ่งเล็งจ้องรื้อทิ้งรีสอร์ทที่ไม่ถูกต้องหลังศาลตัดสินแล้ว เริ่มออกมาเคลื่อนไหวปลุกปั่นชาวบ้านในพื้นที่เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับทางเจ้าหน้าที่ว่า กำชับให้ทางผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่และทางทหารทำความเข้าใจว่า ในส่วนของชาวบ้านไม่ได้ไปแตะอยู่แล้ว แม้แต่กฎหมายผังเมืองรวมที่จะออกมาก็ไม่มีผลย้อนหลัง นอกจากจะเห็นเป็นอันตรายไม่ปลอดภัยถึงจะทำได้ โดยการให้แก้ไขปรับปรุงรื้อถอนได้
จึงต้องไปทำความเข้าใจกับชาวเบิกและทางสื่อก็ต้องช่วยชี้แจงว่า ทางรัฐไม่มีนโนบายจะไปแตะต้องเขา สิ่งที่จะเข้าไปจัดการก็คือ คนข้างนอกที่เข้าไปรวมทั้งนายทุนก็ต้องแยกออกมาให้ได้ว่า ไปซื้อต่อหรือไปเช่าที่ดิน ก็ต้องพยายามหาข้อมูลออกมาให้ได
รองผู้ว่าฯเพชรบูรณ์กล่าวถึงข้อถามที่ว่าต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงกับนายทุนเหล่านี้หรือไม่ด้วยว่า อันนี้เป็นจิตสำนึกอันไหนควรไม่ควร พูดให้ตายสำหรับคนพวกนี้ผมว่าต้องใช้กฎหมายบังคับอย่างเดียว เพราะเท่าที่ทราบเจ้าหน้าที่ได้บังคับใช้กฎหมายด้วยการเข้าจับกุมไปแล้ว แต่กลับมายิ่งทำมากกว่าเดิม แม้เรื่องยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรมเขาก็ไม่หยุดแถมกลับมายังทำมากกว่าเดิม ไม่เชื่อก็ลงไปดูตอนนี้ก็ได้กำลังต่อเติมเริ่มสร้างขยายโดยไม่ได้เกรงกลัวอะไร จึงคิดว่าคนพวกนี้คุยด้วยไม่ได้แล้ว ทำได้อย่างเดียวต้องหามาตรการเร่งรัดจัดการให้เร็วที่สุด
ตรงนี้ต้องเรียนกันตรงๆว่าพวกที่มีผลประโยชน์ก็ต้องดิ้นเพราะต้องการปกป้องรักษาผลประโยชน์เอาไว้ และการจะห้ามไม่ให้ดิ้นก็คงยากเพราะขบวนการยุติธรรมของเราต้องมีขั้นมีตอนและมีห้วงระยะเวลาอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชาวบ้านก็ต้องหวั่นไหวแน่นอน ทั้งๆที่เราก็พยายามบอกมาตลอดว่าเราไม่แตะ ในขณะที่นายทุนก็ต้องพยายามหาพวกหรือแนวร่วม โดยใช้ชาวบ้านเป็นเกราะกำบัง เพราะคงมองว่าลำพังตัวเองไปไม่รอดอยู่แล้ว หากได้มวลชนแนวร่วมขึ้นมาก็จะทำให้มีอำนาจต่อรองโดยเฉพาะการยืดระยะเวลาออกไปได้อีกแต่ในที่สุดก็คงยื้อไปไม่ได้เท่าไหร่ ทางที่ดีควรต้องมีการเรียกค่าเยียวยาจากสิ่งที่นายทุนเหล่านี้ได้ทำลงไปด้วย โดยเฉพาะเรียกค่าเสียหายด้วยไม่ใช่เพียงแค่รื้อถอนอย่างเดียวนายไกรสรกล่าว
ข่าวแจ้งว่า ในการประชุมที่โรงเรียนทับเบิกร่วมใจร่วมกับวิศวกรใหญ่กรมโยธาธิการและตัวแทนจากภาคส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นายไกรสรได้กำชับให้ผู้ใหญ่บ้านทั้งสองหมู่บ้านในพื้นที่รวมทั้งทหาร ให้เร่งชี้แจงกับชาวบ้านให้เข้าใจหลังทราบกระแสข่าวว่ามีกลุ่มรีสอร์ทที่ได้รับผลกระทบจากกรมป่าไม้ ซึ่งเตรียมเข้ารื้อรีสอร์ทหลังศาลตัดสินแล้ว จนมีการกระแสสร้างคลื่นใต้น้ำโดยมีการยุยงปลุกปั่นให้ชาวบ้านออกมาต่อต้านทางเจ้าหน้าที่ รวมทั้งสร้างเงื่อนไขต่อรองต่างๆ จนนายไกรสรถึงกับกล่าวย้ำว่า ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้เข้ามาจับกุมและต้องการจัดระเบียบ ส่วนกลุ่มคนนอกพวกนี้ไม่ใช่ชาวเขาไม่มีสิทธิ์จะเข้ามาครอบครองที่ดินบนภูทับเบิก โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดยังกล่าวด้วยว่า การจัดระเบียบภูทับเบิกแยกเป็นสองกลุ่มๆแรกเป็นชาวเขาที่เป็นคนพื้นที่และอยู่ในความดูแลของศูนย์ฯ ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มนอกพื้นที่กลุ่มนี้กำลังมีการเร่งรัดบังคับคดี