
เมื่อถึงเวลาพิธีกรรม หนุ่มสาว 7 คู่ ค่อยๆเดินเข้าสู่งานบายศรีสู่ขวัญ บรรจงถือถาดไม้ที่บรรจุสิ่งมงคลที่เป็นตัวแทนแห่งความสามัคคีและสันติสุข ได้แก่ จานไม้/ถาดไม้ (สอนให้ลูกหลานเชื่อฟังพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือผู้นำ), ไม้พายข้าว (อุปกรณ์ทำอาหารใช้เคาะเรียกขวัญ), ด้าวสีขาวและแดง (สีประจำกลุ่มชาติพันธุ์ แสดงถึงความรักใคร่ปรองดอง), ข้าวสุก (ความสามัคคีเป็นกลุ่มก้อน), ข้าวต้มมัด (ความร่วมมือ ไม่แตกแยก), น้ำ (ความร่มเย็น), กล้วย (ความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน), อ้อย (สัมพันธไมตรีอันดี) และ ใบไม้/ดอกไม้ (ความเจริญเติบโต) หลังจากนั้น ผู้สูงอายุซึ่งเป็นผู้ที่ดีพร้อมทั้งความประพฤติและปฏิบัติตน มีครอบครัวที่ดี เป็นที่ยกย่องจากชาวบ้านเป็นผู้ทำพิธีโดยจะเคาะไม้พายที่ถาดไม้พร้อมกับสวดภาวนาเรียกขวัญเป็นภาษากะเหรี่ยง (กะหล่า) จากนั้นเลือกของ 5 อย่างวางในมือและนำด้ายขาวและแดงผูกข้อมือ 3 รอบ พร้อมพูดอวยพรเรียกขวัญ ให้กลับมาอยู่กับตัว ปราศจากทุกข์โศกโรคร้าย พบแต่สิ่งที่ดี มีทรัพย์สินเงินทอง อยู่เย็นเป็นสุข จากนั้นให้รับประทานอาหารในถาดที่นำมาทำพิธี เป็นอันเสร็จสิ้น ซึ่งการผูกข้อมือนั้นสามารถกระทำให้กับผู้อาวุโสน้อยกว่า หรือ ผู้ที่อายุเท่ากัน
ในปัจจุบัน กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจากเพื่อนบ้านหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม กาญจนบุรี และหลายพื้นที่ในภาคเหนือ บางส่วนหนีภัยสงคราม บางส่วนต้องการหางานทำ และต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การแสดงออกเชิงวัฒนธรรมจึงเป็นเครื่องสะท้อนถึงการมีอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ท่ามกลางกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป