svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Health

เตือนภัย “ไซยาไนด์” รู้ทันอาการ 3 รูปแบบสารพิษ และวิธีปฐมพยาบาล

เตือน! "ไซยาไนด์" สารพิษร้ายแรงที่พบในธรรมชาติและสารสังเคราะห์ อาจทำให้อาการรุนแรงถึงชีวิตได้ในไม่กี่นาที แนะประชาชนหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ทราบที่มา พร้อมเผยวิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง

KEY

POINTS

  • ไซยาไนด์เป็นสารพิษที่มี 3 รูปแบบ (ผง ของเหลว และแก๊ส) ออกฤทธิ์รุนแรงและรวดเร็วโดยขัดขวางการใช้ออกซิเจนของเซลล์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสมองและหัวใจเป็นอันดับแรก
  • อาการพิษมีทั้งแบบเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตในไม่กี่นาที (ชัก, หมดสติ, ความดันต่ำ) และแบบเรื้อรังจากการได้รับสารปริมาณน้อยต่อเนื่อง (ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, ใจสั่น)
  • การปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือรีบลดปริมาณสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อน ล้างตัวด้วยน้ำสบู่ แต่ห้ามทำให้อาเจียน และหากผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำ CPR โดยห้ามใช้วิธีเป่าปาก

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ ออกมาเตือนถึงอันตรายจาก ไซยาไนด์ ซึ่งเป็น สารพิษ ที่สามารถพบได้ทั้งในธรรมชาติและจากการสังเคราะห์ทางเคมี โดยพิษที่เกิดจากไซยาไนด์นั้นมีอาการรุนแรงและรวดเร็วมาก จนอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่นาที

รูปแบบและกลไกการเกิดพิษของ "ไซยาไนด์"

ไซยาไนด์ เป็นสารพิษที่มี 3 รูปแบบหลัก คือ ผงสีขาว ของเหลว และแก๊ส และสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งการสูดดม, การกิน, และการปนเปื้อนทางผิวหนัง

  • แหล่งที่พบ: พบใน มันสำปะหลัง ดิบ, น้ำยาล้างเครื่องเงิน, น้ำยาถอดเล็บบางประเภท, ยาเบื่อปลา, และในอุตสาหกรรม (เช่น การถลุงแร่, การชุบโลหะ)
  • กลไกอันตราย: เมื่อไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าขัดขวางการใช้พลังงานของเซลล์ (ยับยั้งการหายใจระดับเซลล์) ทำให้เซลล์ไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้ ส่งผลกระทบต่ออวัยวะที่ใช้พลังงานสูงอย่าง สมองและหัวใจ เป็นลำดับแรก

พิษไซยาไนด์ มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง

ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่ได้รับสารพิษ

  • ภาวะพิษแบบเฉียบพลัน (ปริมาณมาก): อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที เริ่มจากอาการทางสมอง (ชัก หมดสติอย่างรวดเร็ว), ใจสั่น, ปวดศีรษะ, ตามด้วยความดันโลหิตต่ำ และอาจสังเกตเห็นผิวหนังและเยื่อบุมีสีแดงกว่าปกติ แม้ผู้ป่วยหยุดหายใจแล้วก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจเสียชีวิตได้ภายใน 10 นาที
  • ภาวะพิษแบบเรื้อรัง (ปริมาณน้อยต่อเนื่อง): เกิดจากการได้รับไซยาไนด์ปริมาณเล็กน้อยเป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ, ง่วงซึม, คลื่นไส้, อาเจียน, ใจสั่น, และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น รูม่านตาขยาย หรือผิวหนังเป็นผื่นแดง หากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นช้าหรือเต้นผิดปกติ และเสียชีวิตในที่สุด

ส่วนการวินิจฉัยพิษ ว่าเกิดจากไซยาไนด์หรือไม่นั้น แพทย์หญิงพลอยไพลิน รัตนสัญญา นายแพทย์เชี่ยวชาญ ศูนย์พิษวิทยา ระบุว่า ต้องใช้การเจาะเลือดและตรวจจากน้ำล้างกระเพาะเพื่อหาระดับไซยาไนด์ในร่างกาย

🩺 วิธีการป้องกันและปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกวิธี

เนื่องจากพิษของไซยาไนด์รุนแรงและออกฤทธิ์เร็ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการลดปริมาณสารพิษ และนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

1. วิธีป้องกันที่ดีที่สุด

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสไซยาไนด์ และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ทราบที่มาที่ไป
  • ควรดื่มเครื่องดื่มหรืออาหารที่อยู่ในภาชนะปิดเท่านั้น

2. วิธีการปฐมพยาบาล (เมื่อสงสัยได้รับพิษ)

  • การสัมผัสทางผิวหนัง/เสื้อผ้า: ให้ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนออกด้วยการใช้กรรไกรตัดออกเพื่อไม่ให้ปนเปื้อนส่วนอื่น จากนั้นทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำและสบู่เพื่อลดปริมาณสารพิษให้ได้มากที่สุด
  • การสัมผัสทางดวงตา: ถอดแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ออก แล้วใช้น้ำสะอาดล้างตาต่อเนื่องกันอย่างน้อย 10 นาที
  • การรับประทาน: ให้รีบล้างปาก ห้ามเอานิ้วล้วงคอ หรือห้ามทำให้อาเจียนเด็ดขาด
  • การสูดดมแก๊ส: ให้รีบพาออกมาจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว (ควรหลีกเลี่ยงการสูดดมโดยผู้ช่วยเหลือ)
  • การกู้ชีพ: หากผู้ป่วยหยุดหายใจหรือหมดสติ ให้ทำ CPR (การนวดหัวใจกู้ชีพ) โดยเร็วที่สุด แต่ ห้ามใช้วิธีเป่าปาก (ผายปอด) เพราะผู้ช่วยเหลืออาจได้รับไซยาไนด์จากลมหายใจของผู้ป่วยได้
  • สิ่งที่ควรรู้: เมื่อถึงโรงพยาบาล แพทย์จะใช้ ยาต้านพิษ (Antidote) เฉพาะสำหรับไซยาไนด์ ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับยาต้านพิษได้ทันเวลา ก็จะสามารถรอดชีวิตได้