svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) รู้ทันป้องกันอัมพาต

19 ธันวาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เปิดสถิติทั่วโลก “โรคหลอดเลือดสมอง” หรือ Stroke สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ต้นเหตุสำคัญของอัมพฤกษ์อัมพาต แต่หากรู้ทันก็ป้องกันได้

จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดใหม่ทั่วโลกราว 10-15 ล้านคน ในจำนวนนี้ 5 ล้านคนเสียชีวิต และอีก 5 ล้านคนกลายเป็นคนพิการอย่างถาวร สำหรับในประเทศไทย สถิติจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิต หรือพิการสูงเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย รองจากโรคเอดส์ และอุบัติเหตุ และสูงเป็นอันดับ 2 ในเพศหญิง รองจากโรคเอดส์ ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่คุกคามต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรทั่วโลก

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) รู้ทันป้องกันอัมพาต

ทำความเข้าใจ อะไรคือ Stroke?

โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดในสมองเกิดการตีบ อุดตัน หรือแตกอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนดังกล่าวหยุดลงทันที ทำให้เนื้อสมองถูกทำลาย เพราะขาดออกซิเจน และสารอาหาร และเนื่องจากสมองของมนุษย์แต่ละส่วนควบคุมการทำงานของอวัยวะแตกต่างกัน  ดังนั้น ถ้ามีสมองส่วนใดถูกทำลายไปก็จะส่งผลต่อการทำหน้าที่ในส่วนนั้น หากผู้ป่วย Stroke ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจนทำให้สมองเกิดความเสียหายมาก ก็จะเกิดผลเสียตามมา เช่น

1. อัมพาตครึ่งตัว

2. ปัญหาการพูด การเข้าใจ การตัดสินใจ และการกลืน

3. สูญเสียการทรงตัว นำไปสู่ปัญหาการยืน และการเดิน

4. สูญเสียการมองเห็นภาพซีกซ้ายของตาทั้งสองข้าง เป็นต้น

โรคหลอดเลือดสมอง แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลัน

พบประมาณ 80-90% ของผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองตีบหรืออุดตัน ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ  เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอยู่เป็นเวลานานจะเป็นผลให้ผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เกิดการตีบหรืออุดตัน ทำให้สมองขาดเลือดเกิดอัมพาตตามมาในที่สุด โดยผู้ป่วยเหล่านี้อาจมีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดส่วนปลายแขนขาตีบร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังอาจพบสาเหตุของการเกิดเส้นเลือดสมองอุดตันได้จากเหตุอื่นๆอีก เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด โรคเลือดบางชนิด เช่น ภาวะเลือดข้นผิดปกติ

2. โรคหลอดเลือดสมองแตก

ภาวะนี้มักสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน นอกจากนี้ ยังอาจสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาบางชนิด

อาการของโรคหลอดเลือดสมอง

หากมีอาการในข้อหนึ่งข้อใดดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองทั้งสิ้น

  • มีอาการชาหรืออ่อนแรงของแขนขา หรือใบหน้าข้างใดข้างหนึ่ง
  • ตาข้างใดข้างหนึ่งมัว มองไม่เห็น มองเห็นภาพซ้อน หรือมีลานสายตาผิดปกติเฉียบพลัน
  • พูดไม่ชัด พูดลำบาก หรือไม่เข้าใจคำพูด
  • มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
  • มีอาการเวียนศีรษะเฉียบพลัน หรือมีการทรงตัวผิดปกติ

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด Stroke

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้เกิด Stroke นั้น มีตั้งแต่ปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ไปจนถึงด้านพฤติกรรม ดังนี้

- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด

- เชื้อชาติ (แอฟริกัน-อเมริกัน มีความเสี่ยงสูงกว่าชนชาติอื่น)

- หลอดเลือดแดงแข็งจากคราบไขมัน ส่งผลให้เลือดข้น มีระดับเม็ดเลือดแดงสูง

- ภาวะไขมันในเลือดสูง

- โรคหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ

- สูบบุหรี่

- ดื่มแอลกอฮอล์

- ความดันโลหิตสูง

- เบาหวาน

- อายุมาก

- การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน

- เพศ (เพศชายมีความเสี่ยงสูงกว่า)

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) รู้ทันป้องกันอัมพาต

การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง

สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดในระยะเฉยบพลันที่มีการศึกษายืนยันแล้วว่าได้ผลดีอย่างชัดเจน ได้แก่

1. การให้ยาสลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยภายในเวลา 4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ จะเพิ่มโอกาสของการฟื้นตัวจากความพิการให้อาการกลับมาปกติหรือใกล้เคียงปกติได้ถึง 30-50% เมื่อเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้รับยา อย่างไรก็ตาม การใช้ยานี้มีความเสี่ยงของเลือดออกในสมองได้ประมาณ 7%

2. การให้รับประทานยาแอสไพรินภายใน 48 ชั่วโมง หลังเกิดอาการ สามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบตันซ้ำและเสียชีวิตลงได้

3. การใส่สายสวนเพื่อเปิดหลอดเลือด (mechanical thrombectomy) ในรายที่มีข้อบ่งชี้

4. การรับตัวผู้ป่วยไว้ในหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (acute stroke unit) เพื่อติดตามอาการทางสมองที่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างใกล้ชิด และสามารถให้การดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงที

5. การผ่าตัดเปิดกะโหลก (Hemicraniectomy) จะพิจารณาทำเฉพาะกรณีที่สมองบวมจากการขาดเลือดบริเวณกว้าง โดยมีหลักฐานการศึกษาว่าการผ่าตัดดังกล่าวสามารถลดอัตราการตายของผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้

ทั้งนี้ การรักษาให้ได้ผลดีขึ้นอยู่กับ "เวลา" ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร จะยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้มาก "ความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้น" และ "ความพร้อมของเทคโนโลยีในการรักษา" โดยใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคที่เหมาะสมและยาที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นับเป็นปัจจัยที่สำคัญของผลการรักษา

นอกจากนี้ การควบคุมโรคประจำตัว การป้องกันภาวะแทรกซ้อน การทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูร่างกาย และกำลังใจจากคนในครอบครัว ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วยทั้งสิ้น

การดูแลป้องกันเพื่อไม่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง

  • การป้องกันการกลับเป็นโรคเส้นเลือดสมองซ้ำด้วยการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
  • การรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรักษาโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และการงดสูบบุหรี่
  • การลดอาหารที่มีไขมันโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ลดอาหารเค็ม และรับประทานผักผลไม้ให้มาก
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ตรวจสุขภาพอย่างไรให้ห่างไกล Stroke?

การแพทย์ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมาก ทำให้การเฝ้าระวัง และป้องกัน “โรคหลอดเลือดสมอง” ทำได้ดีมากกว่าในอดีต หนึ่งในวิธีที่มีส่วนช่วยป้องกัน Stroke ได้ก็คือ การตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี จะช่วยให้เราสามารถระมัดระวังตัวเองได้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงจากพฤติกรรม และพันธุกรรมดังกล่าวข้างต้น

การตรวจสุขภาพที่เน้นการป้องกันเรื่อง Stroke โดยเฉพาะนั้น ต้องให้ความสำคัญกับการ “ตรวจการไหลเวียนของหลอดเลือดในสมอง” หรือ Transcranial Doppler (TCD) เพื่อตรวจดูการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดสมองด้วยคลื่นความถี่สูง และประเมินการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดสมอง เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม ภาวะลิ่มเลือดขนาดเล็กที่อาจหลุดมายังหลอดเลือดสมองได้

นอกจากนี้ ในบางกรณียังสามารถตรวจดู “ภาวะสมองตาย” จากการติดเชื้อในสมอง (แล้วแต่กรณี) ตรวจหาลิ่มเลือดขนาดเล็กที่หลุดจากหัวใจ หรือคราบไขมันที่ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ แต่สำหรับการตรวจด้วย TCD นั้น จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเท่านั้น

logoline