svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ และ ความงาม

นักวิจัยจีนเผย งีบกลางวันบ่อย เพิ่มความเสี่ยง โรคความดันสูง-หลอดเลือดสมองตีบ

17 สิงหาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

รู้หรือยัง? งีบกลางวันบ่อย ๆ อาจเสี่ยงเป็นโรค "ความดัน-หลอดเลือดสมอง" มากขึ้น คณะนักวิจัยจีนพบ การงีบหลับตอนกลางวันมากขึ้น อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ หรือโรคหลอดเลือดสมองตีบ

อีกข้อมูลจากการศึกษาวิจัย ที่น่าสนใจ นำมาฝากคอข่าว เนชั่นออนไลน์ กันตรงนี้

 

สำหรับกลุ่มวัยกลางคนและผู้สูงอายุทั่วโลก โรคความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตหลักที่มีต้นตอจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ขณะโรคหลอดเลือดสมองเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะพิการ โดยการศึกษาช่วงต้นพบว่าผู้คนจะมีความดันโลหิตสูงขึ้นหลังจากงีบหลับ

 

ผลการศึกษาที่เผยแพร่ใน วารสารไฮเปอร์เทนชัน (Hypertension) ระบุว่า ยูเค ไบโอแบงก์ (UK Biobank) ฐานข้อมูลชีวการแพทย์ขนาดใหญ่ของสหราชอาณาจักร ได้รวบรวมข้อมูลพันธุกรรม วิถีชีวิต และสุขภาพจากอาสาสมัครชาวสหราชอาณาจักรกว่า 500,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 40-69 ปี โดยมีทีมวิจัยจากโรงพยาบาลเซียงหย่า สังกัดมหาวิทยาลัยเซ็นทรัลเซาธ์ (CSU) ทำการวิเคราะห์การถดถอยค็อกซ์ (Cox regression) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการวิเคราะห์อัตราการมีชีวิตรอด ในกลุ่มผู้เข้าร่วม 358,451 คนจากฐานข้อมูล ที่ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหลอดเลือดสมอง

นักวิจัยจีนเผย งีบกลางวันบ่อย เพิ่มความเสี่ยง โรคความดันสูง-หลอดเลือดสมองตีบ

บรรดาผู้เชี่ยวชาญดำเนินการศึกษาที่เกี่ยวข้องผ่านการสุ่มแบบเมนเดล (Mendelian randomization) และพบว่า ผู้ที่งีบหลับบ่อยเสี่ยงเผชิญโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมองตีบมากกว่าผู้ที่ไม่เคยงีบหลับ 12% และ 24% ตามลำดับ

ผลลัพธ์นี้บ่งชี้ถึง ความเชื่อมโยงระหว่างความถี่ในการงีบหลับตอนกลางวัน กับโอกาสการเกิดโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหลอดเลือดสมองตีบ 

โดยทางด้าน หวัง เอ้อ หัวหน้าทีมวิจัย ดังกล่าว เปิดเผยว่า

 

"แม้การศึกษานี้จะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มวัยกลางคนและผู้สูงอายุในยุโรป แต่อ้างอิงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของการศึกษาทางคลินิก จึงถือเป็นภาพสะท้อนกลุ่มประชากรโดยทั่วไป"

 

"กลไกภายในของความเชื่อมโยงระหว่างการงีบหลับกับโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่น ๆ นั้นยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจนและจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม" หวัง เอ้อ กล่าว 

ขอขอบคุณที่มา : ซินหัว

logoline