“ข้าวกระยาคู” ตำรับโบราณที่ปัจจุบันถือว่าหากินยากมาก จะเริ่มทำกันในช่วง ข้าวตั้งท้องระยะน้ำนมและเปลือกมีสีเขียวอ่อนก่อนฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาจะนำรวงข้าวตั้งท้องมาตำคั้นออกมาเป็นน้ำ เพื่อให้ได้น้ำนมข้าว แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำใบเตยคั้นสดจนเนื้อเหนียวข้นสีเขียวอ่อน ให้ข้นเป็นข้าวกระยาคู หรือข้าวยาคู ราดด้วยหัวกะทิรสเค็มเล็กน้อย และใส่เครื่องธัญพืชหรือมะพร้าวอ่อนเพิ่มได้ หรือประทานกับส่วนประกอบที่หาได้จากไร่สวน
ข้าวกระยาคู คือขนมอร่อยตำรับโบราณที่ปัจจุบันถือว่าหากินยากมาก กลายมาเป็นประเพณีโบราณของไทยในช่วงการทำบุญ โดยจะมีชาวบ้านมาร่วม กวนข้าวยาคูถวายพระสงฆ์และแจกจ่ายให้กับผู้มาร่วมงานยังคงอยู่ คือความสมัครสมานสามัคคี และการถวายสิ่งดีมีประโยชน์แด่พระสงฆ์ ตามความเชื่อที่ปรากฏในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงที่มาของข้าวยาคูว่าพราหมณ์คนหนึ่งนำข้าวยาคูมาถวายพระพุทธเจ้า ผลบุญจึงส่งให้เป็นผู้รู้ธรรมองค์แรก ชาวพุทธส่วนหนึ่งจึงเชื่อว่า อานิสงส์ของการให้ทานข้าวยาคูหรือให้ข้าวยาคูแก่ผู้อื่น คือการให้ อายุ วรรณะ สุข กำลัง และปฏิภาณผู้มีปัญญา
ตามพุทธประวัติ กล่าวว่า พราหมณ์ผู้หนึ่งหุงข้าวยาคูและทำขนมหวานถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกฉัน ขนมที่พราหมณ์ทำเป็นขนมหวาน ส่วนข้าวยาคูไม่มีรสหวาน ปัจจุบันการทำข้าวยาคู ใช้ข้าวอ่อนนำมาตำให้เม็ดแหลก แล้วกรองเอาส่วนที่เป็นน้ำมาต้มกับน้ำตาล ทำให้มีลักษณะคล้ายแป้งเปียกสีเขียวอ่อน เมื่อกินอาจราดหน้าด้วยน้ำกะทิเล็กน้อยหรือใส่มะพร้าวอ่อนก็ได้
เดิม ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายคำว่า ‘ยาคู’ ไว้ว่า (๑) ข้าวต้ม (๒) เรียกขนมชนิดหนึ่งทำด้วยข้าวอ่อน ว่า ข้าวยาคุ หรือ ข้าวยาคู คำว่า ยาคู มาจากภาษาบาลีว่า ยาคุ ข้าวยาคูมีลักษณะแบบเดียวกับข้าวต้ม ในสมัยพุทธกาลใช้ข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นแช่ในน้ำในอัตราส่วน ๑ ต่อ ๑๖ จนเปลือกธัญพืชเหล่านี้อ่อนตัว แล้วเคี่ยวให้เหลือเพียงครึ่งเดียว มักเป็นอาหารที่ทำให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่หิวกระหายดื่ม ในวินัยปิฎกและพระสูตรอังคุตตรนิกาย (อ่านว่า อัง-คุด-ตะ –ระ -นิ-กาย)
กล่าวว่าข้าวยาคูมีประโยชน์ ๕ ประการ คือ ช่วยบรรเทาความหิว บรรเทาความกระหาย ทำให้ลมเดินสะดวก ช่วยชำระลำไส้ และช่วยย่อยอาหารได้อีกด้วย นับว่าขนมชนิดนี้มีเรื่องราวที่มีความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนและศาสนา และยังให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงประเพณี ธรรมเนียม วัฒนธรรมในอดีต
ข้อมูลอ้างอิง Banyuansikhiu kanomkaoyakoo สำนักงานราชบัณฑิตยสภา