"ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค" (Vincent Willem van Gogh) หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ "วินเซนต์ แวน โก๊ะ" เป็นจิตรกรชาวดัตช์ หรือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก เขาสร้างสรรค์งานศิลป์กว่า 2,100 ชิ้นในเวลาเพียงสิบปีกว่า ในจำนวนนี้เป็นภาพสีน้ำมัน 860 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในสองปีสุดท้ายของชีวิตเขา
ผลงานของเขามีทั้งภาพภูมิประเทศ ภาพนิ่ง ภาพคนเหมือน และภาพเหมือนตนเอง ซึ่งล้วนมีลักษณะเด่นเป็นสีสันจัดจ้านและงานพู่กันที่ฉวัดเฉวียนแฝงอารมณ์ชวนประทับใจอันช่วยสร้างรากฐานให้แก่ศิลปะสมัยใหม่ แต่ชีวิตเขาช่างรัดทด เมื่อทนทุกข์เพราะไข้ใจและความจนมานานหลายปี ได้ปลิดชีวิตตนเองในขระที่มีอายุ 37 ปี
"วินเซนต์ แวน โก๊ะ" เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.1853 ตรงกับปี พ.ศ.2396 หรือเมื่อ 171 ปีที่แล้ว ที่เมืองซึนเดิร์ต (Zundert) ในภูมิภาคบราแบนต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองที่ติดกับชายแดนเบลเยียม มีพ่อเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 6 คน
ครอบครัวของ "แวน โก๊ะ" เป็นชนชั้นกลางที่มีชีวิตแบบแคบ ๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูเงอะงะ ไม่คล่องแคล่วเหมือนคนมีปมด้อย ค่อนข้างใจน้อย เขามีนิสัยชอบเก็บตัวและมีอาการของโรควิตกกังวล และยังมีอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย อ่อนโยน มีความเมตตาต่อคนทุกข์ยาก ทำให้ทุกคนมองเขาว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ น่ารำคาญ
เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เข้าทำงานที่ห้องภาพแห่งหนึ่งที่เดอะเฮก กับญาติที่ทำงานด้านศิลปะ และเมื่อเขามีอายุได้ 18 ปี เขาก็ถูกส่งตัวไปยังห้องภาพที่สาขาปารีส ด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อและความเบื่อหน่ายที่ทางห้องภาพเอารูปเลว ๆ มาหลอกขายกับคนที่ไม่รู้จักศิลปะ เขาถึงกับบอกให้ลูกค้าไม่ให้ซื้อภาพนั้น จนกระทั่งทางร้านไม่พอใจไล่เขาออกจากงานในที่สุด
ชีวิตพลิกผันไปศึกษาด้านศาสนา
หลังจากถูกไล่ออกจากงาน "แวน โก๊ะ" หันไปศึกษาทางศาสนาอย่างจริงจัง กระทั่งสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยศาสนาที่นครอัมสเตอร์ดัม แต่ในเวลาต่อมาพบว่าตัวเขาเองไม่ได้อะไรอย่างที่ตั้งใจไว้ จึงเลิกเรียน ย้ายไปอยู่ในเหมืองถ่านหินในตำบลบอรีนาฌ เพื่อเทศนาสั่งสอนและช่วยเหลือคนทุกข์ยากในเหมืองนั้นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เขาอุทิศเงินจำนวนหนึ่งให้กับคนทุกข์ยากโดยที่ตนเองมีเงินใช้อย่างจำกัด และต้องกินเศษขนมปัง ทำให้ร่างกายผอมลงและเป็นพิษไข้ เพราะการบริโภคที่ผิดอนามัยและความหนาวเหน็บจากกองไฟกองเล็กที่ไม่อาจสู้กับความหนาวเย็นของอากาศได้ ทำให้ความงก ๆ เงิ่น ๆ ของเขามีมากยิ่งขึ้น
ศิลปะคือทางสว่างของ "แวน โก๊ะ"
ในปี ค.ศ. 1880 "แวน โก๊ะ" เขียนจดหมายไปบอก "เตโอ" น้องชายของเขาว่า ค้นพบศิลปะคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา และเข้ามาแทนที่สิ่งอื่น ๆ จนหมด เขาใช้เวลาเพื่อศึกษามันด้วยตนเองอย่างจริงจัง โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเขียนรูปมาบ้างแต่ไม่จริงจังเท่าไหร่ แต่ต่อจากนี้ไป ศิลปะคือชีวิตจิตใจของเขา
ในปี ค.ศ. 1881 "แวน โก๊ะ" ย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนกับบิดามารดา เขาได้ แตโอ น้องชาย คอยสนับสนุนทางการเงิน เขากับน้องติดต่อกันมาเสมอทางจดหมาย ผลงานชิ้นแรก ๆ ของเขาส่วนใหญ่เป็นภาพนิ่งและภาพแสดงชนชั้นกรรมกร แต่มีไม่มากที่ใช้สีสันสดใส ต่างจากผลงานชิ้นหลัง ๆ
ในปีค.ศ. 1886 เขาย้ายไปอยู่ปารีส ได้พบเจอสมาชิกกลุ่มล้ำยุค เช่น Émile Bernard กับปอล โกแก็ง ที่กำลังมีปฏิกิริยาตอบโต้ประเด็นอ่อนไหวเรื่องลัทธิประทับใจ เมื่องานของ "แวน โก๊ะ" ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ก็สร้างรูปโฉมใหม่ให้แก่งานภาพนิ่งและภาพภูมิประเทศท้องถิ่นของตัว โดยให้มีสีสันกระจ่างใสขึ้น เป็นรูปแบบที่ใช้งานจริงอย่างเต็มที่
ในช่วงที่เขาพำนักอยู่ ณ เมืองอาร์ล ทางภาคใต้ของฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1888 ช่วงนี้เองที่เขาขยายหัวเรื่องสำหรับงานของตนออกไปเป็นภาพชุดต้นมะกอก ทุ่งสาลี และทานตะวัน
เขาประสบปัญหาทางสภาพจิตใจอยู่หลายช่วง ซ้ำยังละเลยสุขภาพทางกาย ไม่กินไม่นอนตามสมควร ทั้งดื่มสุราอย่างหนัก ครั้งหนึ่ง เขามีปากเสียงกับ"โกแก็ง" แล้วคว้ามีดโกนไล่ตามโกแก็ง ก่อนเฉือนหูซ้ายของตัวเอง ความปั่นป่วนทางใจทำให้เขาต้องอยู่โรงพยาบาลจิตเวชหลายครั้ง เช่นครั้งที่เขาพักอยู่ในแซ็ง เรมี เดอ พรอว็องส์
เมื่อออกโรงพยาบาลแล้ว เขาย้ายไปอยู่ Auberge Ravoux ที่โอแวร์ซูว์รวซใกล้กับปารีส และอยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์แผนโฮมีโอพาธีนาม Paul Gachet
ภาวะซึมเศร้าของ "แวน โก๊ะ" ทำให้ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางสายศิลปะอย่างลำบากยากแค้น กระทั่งในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1890 เขาใช้ปืนลูกโม่ยิงอกตนเอง บาดแผลครั้งนี้ทำให้เขาเสียชีวิตในอีกสองวันถัดมา หลังจากการเขียน "รูปทางสามแพร่ง" (Wheat Field with Crows) โดยงานชิ้นนี้อาจจะสื่อถึงการหาทางออกให้กับของชีวิตของเขาเอง ที่เปรียบเสมือนทาง 3 สายที่มาบรรจบกันทำให้เลือกไม่ถูกว่าจะไปทางใดต่อ ซึ่งเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเขา
การเสียชีวิตของ "แวน โก๊ะ" สร้างความเศร้าโศกเสียใจของเพื่อน ๆ ศพของเขาถูกฝังไว้ในสุสานเล็ก ๆ ที่เมืองโอแวร์ซูว์รวซ ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส
ผลงานได้รับการยอมรับหลังเสียชีวิต
ตอนที่ "แวน โก๊ะ" มีชีวิต ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ถูกมองเป็นคนบ้า คนล้มเหลว แต่พอเสียชีวิต เขากลับโด่งดัง อยู่ในภาพจำของสาธารณชนในฐานะอัจฉริยบุคคลผู้ถูกมองข้าม ถึงกับมีคำกล่าวว่า "เขาเป็นศิลปิน ผู้ซึ่งวาทกรรมเรื่องความบ้าคลั่งและความสร้างสรรค์มีเส้นคั่นอยู่บาง ๆ" (where discourses on madness and creativity converge)
เกียรติยศเริ่มหลั่งไหลมาถึง "แวน โก๊ะ" ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เนื่องจากองค์ประกอบในรูปแบบงานวาดเขียนของเขากลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ผลงานของเขาประสบความสำเร็จทางการค้าพาณิชย์อย่างกว้างขวาง ทุกวันนี้ เขาเป็นที่จดจำในฐานะจิตรกรคนสำคัญผู้มีชีวิตอันชวนสลด บุคลิกภาพที่เป็นปัญหาของเขา กลายเป็นสัญลักษณ์ของศิลปินระทม (tortured artist) ในอุดมคติแนวสุขนาฏกรรม
ผลงานเด่น "วินเซนต์ แวน โก๊ะ"
"แวน โก๊ะ" ถือเป็นผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกาลเวลา ผลงานของเขานั้นเป็นที่น่าจับตามองสำหรับความงามที่มีลายเส้นที่หยาบ ความตรงไปตรงมาทางอารมณ์และด้วยการใช้สีที่ร้อนแรงที่แสดงออกถึงความลึกซึ้งต่อศิลปะในช่วงศตวรรษที่ 20 โดย 10 ผลงานศิลปะชิ้นเอกของเขา ได้แก่
ขอบคุณข้อมูลและภาพ :